วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

Louis Pasteur

หลุยส์ ปาสเตอร์ผู้ประกาศสงครามกับเชื้อโรค

                    ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1860 หลุยส์ ปาสเตอร์ นักเคมีชาวฝรั่งเศส เดินทางไปไต่ภูเขาแอลป์ บริเวณใกล้ชาโมนีซ์ เขานำขวดปิดผนึกไปด้วยกว่า 30 ใบ ในขวดมีน้ำส่าสกัด กับน้ำตาล ก่อนหน้านี้ ปาสเตอร์ เคยทดลองให้เห็นมาแล้วว่า ถ้าเปิดขวดทิ้งไว้กลางอากาศ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง สิ่งที่บรรจุไว้ในขวด จะมีเชื้อโรคปนเปื้อน ครั้งนี้ ปาสเตอร์ขึ้นไปบนภูเขาสูง 1,500 เมตร ซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ปราศจากเชื้อโรค แล้วเปิดขวดให้อากาศเข้าไป จากนั้นจึงปิดผนึกอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงห้องทดลอง เขาก็แสดงให้เห็นว่า น้ำส่านั้นไม่บูดหรือเสีย
                  
                    การค้นพบครั้งนี้ได้นำไปใช้กำจัดเชื้อโรค ในน้ำนม เหล้าองุ่น และเบียร์ ทำให้เครื่องดื่มเหล่านี้ ปลอดภัยและน่าดื่ม จากผลของการศึกษานานแรมปีนี้เอง ปาสเตอร์ยืนยันว่า  " โรค "   ที่เกิดในของเหลวชนิดต่างๆ มาจากเชื้อแบคทีเรีย ในบรรยากาศชั้นล่างๆ ซึ่งเป็นภัยต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิต เขายังเขียนไว้ในเวลาต่อมาว่า   " ในโลกของการทดลอง โชคจะเข้าข้าง แต่จิตใจที่เตรียมพร้อมแล้วเท่านั้น "
                    ตัวของเขาก็ได้เตรียมใจไว้พร้อมแล้ว ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ วิชาเคมีในปลายทศวรรษ 1840 ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ เมืองสตราสบูร์ก ซึ่งอยู่ทางตะวันออก ของฝรั่งเศส เขาเขียนจดหมายถึงเพื่อนคนหนึ่งในปี ค.ศ.1851 ว่า  " ผมจวนไขความลับได้แล้ว หมอกที่บดบังจางลงทุกทีแล้ว "   อีก 6 ปีต่อมา เขาก็วิเคราะห์ถึงกระบวนการหมักเชื้อ ในแอลกฮอล์ และสรุปว่าสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว ซึ่งต่อมาเขาเรียกว่า  " จุลินทรีย์ "  นั้น เป็นสาเหตุให้ของเหลวบางอย่าง เช่น น้ำส้มสายชู และเหล้าองุ่น เน่าบูด
                    พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ทรงมีรับสั่งให้ ปาสเตอร์แก้ปัญหาเรื่องเชื้อโรค ที่ทำให้เหล้าองุ่นเสื่อมคุณภาพ เหล้าองุ่นเป็นผลิตผลสำคัญอย่างหนึ่ง ของฝรั่งเศส ปาสเตอร์ได้ไปเยือนไร่องุ่นนับสิบๆ แห่ง เขาซักถามคนงาน ทดลองชิม แนะนำตัวอย่างเหล้าองุ่นต่างๆ กลับมาตรวจดู ทั้งขั้นที่ยังบ่มไม่ได้ที่ บ่มได้ที่แล้ว และขั้นที่เสื่อมคุณภาพแล้ว
                    ผลการทดสอบแสดงว่า เราอาจทำลายเชื้อโรคที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส โดยไม่มีผลต่อรสชาติของเหล้า กรรมวิธีนี้ต่อมาเรียกว่า " การฆ่าเชื้อแบบปาสเตอร์ " หรือ " การพาสเจอไรซ์ " (pasteurisation) ซึ่งปาสเตอร์นำไปใช้ทำให้นมปลอดเชื้อด้วย
                    อันที่จริง เคยมีผู้เห็นแบคทีเรีย ด้วยกล้องจุลทรรศน์เป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 200 ปีหน้านั้น แต่ในครั้งนั้นเข้าใจผิดไปว่าจุลินทรีย์ ผลที่เกิดจากการเน่าเสีย มิใช่สาเหตุ ปาสเตอร์เป็นบุคคลแรก ที่แก้ไขให้เข้าใจกันอย่างถูกต้อง
                    ไม่นานนัก ปาสเตอร์ก็เสาะหาวิธีรักษาโรคห่า ชนิดทั้งในคน และสัตว์ และเสนอแนวคิด ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างใหญ่หลวงว่า เชื้อโรคได้ " ปรากฎตัวขึ้นอย่างลึกลับจากที่ไหนก็ไม่รู้ "   แหล่งที่มาแน่ชัดที่สืบสาวไปได้ถึง คือจากความสกปรก และฝุ่นละออง
 นอกจากจะช่วยต่อสู้โรคพิษสุนัขบ้าแล้ว ผลงานด้านวัคซีนของปาสเตอร์ ยังช่วยเบิกทางสู่วิชาแพทย์แขนง   " วิทยาภูมิคุ้มกัน " (immunology) ทุกวันนี้มีโรคที่ให้พิการ หรือถึงแก่ชีวิตประมาณ 30 ชนิด รวมทั้งโรคหัด โรคโปลิโอ และโรคคอตีบ ซึ่งป้องกันได้ ด้วยการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกัน
                    ในปี ค.ศ.1888 ได้มีการเปิดสถาบันปาสเตอร์ ในกรุงปารีส งานส่วนหนึ่ง คือเพื่อค้นคว้าวิจัย เรื่องโรคพิษสุนัขบ้าต่อไป ต่อมาแม้อาการเส้นโลหิตแตก จะทำให้ปาสเตอร์มีสภาพกึ่งอัมพาต แต่กระนั้นเขาก็ยังดำรงตำแหน่งผู้นำของสถาบันแห่งนี้ จวบจนกระทั่งถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ.1894 ศพของเขาฝังไว้ในสุสานหินอ่อน อันสง่างามในสถาบันแห่งนั้น คำจารึกที่สุสานของตนเอง ซึ่งเขาได้ประพันธ์เตรียมเอาไว้ มีความว่า
                    " กฎที่มีตัวเราเป็นเครื่องมือ คือกฎแห่งสันติภาพ การงาน และสุขภาพนั้น ย่อม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น