วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

โรคเครียด 12สาเหตุที่คาดไม่ถึง

    1. ความเปลี่ยนแปลงในช่วงรอยต่อระหว่างฤดู
     
              อาการเครียดในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูอาจพบเห็นได้ไม่มากนักในประเทศไทย ซึ่งเวลาในแต่ละฤดูไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ในประเทศแถบยุโรป ที่มีความแตกต่างระหว่างฤดูอย่างชัดเจน ช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านจากฤดูกาลหนึ่งสู่ฤดูกาลใหม่ สามารถทำให้เกิดความเครียดได้ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถปรับตัวตัวเข้าสู่เวลาของฤดูกาลใหม่ได้ทัน อย่างในฤดูหนาวที่กลางคืนยาวขึ้น และกลางวันหดสั้นลง แทนที่ร่างกายจะตื่นมาอย่างสดชื่นพร้อมกับอาทิตย์รุ่งอรุณ กลับต้องตื่นขึ้นมาเจอกับความมืดสลัวที่ไม่คุ้นเคยอย่างที่ผ่านมา ซึ่งในสภาพเช่นนี้จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและเครียดได้ 

     2. การสูบบุหรี่
              
              สารนิโคตินในบุหรี่ ออกฤทธิ์รบกวนการทำงานของสารเคมีในสมองอย่าง โดปามีน และ เซโรโทนิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท และยังมีหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการทำงานของยารักษาอาการซึมเศร้า (antidepressant drugs) ด้วย เมื่อสารทั้งสองตัวนี้ถูกรบกวน จึงทำให้เกิดอาการหงุดหงิด ไปจนถึงซึมเศร้าซึ่งนี่เป็นคำอธิบายด้วยว่า ทำไมผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงถอนยา หรือหย่าบุหรี่ จึงมีอาการเครียด เพราะฉะนั้นเพื่อรักษาสมดุุลของสารเคมีในสมอง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ตั้งแต่ต้นจะดีที่สุด

     3. โรคไทรอยด์

              ฮอร์โมนไทรอยด์ซึ่งผลิตจากต่อมไทรอยด์มีหน้าที่หลายหลาก ทั้งทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท และรักษาระดับสารสื่อประสาทเซโรโทนินให้อยู่ในภาวะปกติ ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ได้ตามปกติ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "ไฮโปไทโรดิซึ่ม" (hypothyroidism) เมื่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดเพี้ยนไปจากเดิม จึงไม่สามารถทำตัวเป็นสารสื่อประสาทได้อย่างเคย รวมถึงทำให้สารเซโรโทนินเสียสมดุลไปด้วย ก่อให้เกิดอาการเครียดได้นั่นเอง 

     4. นอนน้อย

              การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายแล้ว ยังเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเครียดด้วย มีผลการทดลองหนึ่งจากปี 2007 พบว่า เมื่อให้คนสุขภาพดีแต่นอนน้อย มาดูภาพที่ชวนหดหู่ สมองของคนกลุ่มนี้จะทำงานหนักกว่า คนสุขภาพดีที่พักผ่อนอย่างเต็มที่ แล้วถูกทดสอบด้วยประการเดียวกัน ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนอนน้อย เป็นอาการเดียวกับที่ปรากฏในผู้ป่วยที่เป็นโรคเครียด เพราะเมื่อนอนหลับไม่เพียงพอ สมองจึงไม่ได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟู ทำให้การทำงานของสมองบางส่วนบกพร่องไป อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ความรู้สึกเครียดนั่นเอง

     5. ติดเฟซบุ๊ก

              สิ่งนี้ดูจะเป็นอาการทั่วไปของคนในยุคปัจจุบันเสียแล้ว นอกจากเฟซบุ๊ก ยังหมายรวมถึงโปรแกรมแชทต่าง ๆ รวมทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่น ๆ ด้วย ซึ่งการใช้เวลามากเกินไปบนโลกออนไลน์นี้ ทำให้เกิดอาการเครียดตามมาได้ มีผลการศึกษาในปี 2010 กล่าวว่า ร้อยละ 1.2 ของคนอายุระหว่าง 16-51 ปี ในอเมริกา ใช้เวลากับโลกอินเทอร์เน็ตมากเกินไป และมีแนวโน้มว่าจะเกิดอาการเครียดได้ง่าย ตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามผลการวิจัยนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า การผูกติดกับโลกอินเทอร์เน็ตมากเกินไปทำให้เกิดอาการเครียด หรือ คนที่มีอาการเครียดง่ายเป็นทุนเดิม มักมีแนวโน้มยึดติดกับโลกออนไลน์มากกว่าคนทั่วไปกันแน่ 

     6. โปรแกรมโปรดฉายจบ

              เมื่อสิ่งที่ชื่นชอบและรอคอย เดินทางมาถึงตอนจบ ก็ทำให้อดใจหายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นละคร ซีรี่ย์ หรือ ภาพยนตร์ที่ชื่นชอบ และการจบลงของโปรแกรมเหล่านี้ ยังให้เกิดอาการเครียดขึ้นได้ เพราะผู้ชมมักนำตัวเองไปผูกติดกับเรื่องราวที่ดำเนินไป แต่โลกความจริงนั้นไม่เหมือนกับในละคร ทำให้เกิดความผิดหวัง ซึมเศร้า และ เครียด ตามมาได้ 


    ความเครียด

     7. แหล่งที่พักอาศัย

              ประเด็นเรื่องการเลือกทำเลตั้งถิ่นฐานยังหยิบขึ้นมาถกกันได้บ่อย ๆ เพื่อหาข้อสรุปว่า การมีบ้านอยู่ในเมืองกับนอกเมืองนั้นแบบไหนดีกว่ากัน อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาหนึ่งในปี 2011 จากวารสาร Nature บอกว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่มีความเสี่ยงที่จะประสบอาการเครียด มากกว่าคนที่อาศัยอยู่นอกเมืองถึงร้อยละ 39เนื่องจากคนเมืองมีกิจกรรมให้ทำเยอะกว่า ซึ่งหมายถึงสมองต้องทำงานหนักกว่า และ มีโอกาสพบเรื่องที่ต้องให้เครียดจากกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นเยอะกว่านั่นเอง

     8. ตัวเลือกการบริโภคที่หลากหลาย

              สินค้าประเภทเดียวกันที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อในตลาด เป็นปัจจัยแฝงอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นกับผู้บริโภคได้ ผู้บริโภคที่สามารถเลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการได้โดยไม่มีความลังเล จะรอดพ้นจากความเครียดนี้ ส่วนรายที่ชอบทดสอบ เลือกเฟ้น ค้นหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี และคุ้มค่ามากที่สุด จะกลายเป็นเหยื่อความเครียดโดยไม่รู้ตัว 

     9. ไม่ทานปลา

              ผลการศึกษาหนึ่งจากประเทศฟินแลนด์ ในปี 2004  พบว่าการขาดกรดไขมันโอเมก้า 3 อันพบมากในปลาแซลมอนและน้ำมันพืช ทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มเกิดอาการเครียดได้ง่าย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้กลับไม่ส่งผลกระทบใดกับผู้ชาย คำอธิบายที่พอเชื่อถือได้กล่าวว่า เพราะกรดไขมันดังกล่าว ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการรักษาระดับสมดุลของสารสื่อประสาทเซโรโทนิน ซึ่งหากสารนี้อยู่ในภาวะไม่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดอาการเครียดได้

     10. เติบโตอย่างโดดเดี่ยวห่างไกลลูกพี่ลูกน้อง

              แม้การมีครอบครัวขยาย หรือการอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่น หรือความขัดแย้งและความเครียดได้ง่ายกว่าการอยู่แบบครัวเดี่ยว การอยู่แบบสบายตัว ไม่มีความสัมพันธ์ผูกพันให้ยุ่งยากจึงน่าจะฟังดูดีกว่า แต่ความจริงแล้วการเติบโตอย่างโดดเดี่ยวไร้การปฏิสัมพันธ์กับญาติ ๆ หรือลูกพี่ลูกน้องในรุ่นราวคราวเดียวกัน กลับทำให้เด็กรายนั้นมีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบภาวะเครียดง่ายได้ในภายหลัง ซึ่งสาเหตุเบื้องหลังเกิดจาก การขาดทักษะการสื่อสารและการเข้าสังคม แต่อย่างไรก็ดี การเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการทะเลาะวิวาทระหว่างพี่น้อง ก็ทำให้เกิดความเครียดได้เช่นกัน 

     11. ยาคุมกำเนิด

              ฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนแบบสังเคราะห์ที่มีอยู่ในยาเม็ดคุมกำเนิด ก่อให้เกิดผลข้างเคียงในผู้หญิงบางรายได้ โดยจะทำให้มีอาการเครียด ไปจนถึงซึมเศร้า ยิ่งในรายที่มีประวัติเครียดง่ายอยู่แล้ว ก็จะปรากฏอาการนี้ได้ง่ายขึ้นในขณะที่พวกเธอใช้ยาคุมกำเนิดด้วย

     12. ยาชนิดอื่น ๆ 

              อาการเครียดและภาวะซึมเศร้าอาจมาจากผลข้างเคียงของการใช้ยาบางประเภท เช่น แอคคิวเทน หรือยาในตระกูลไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) ซึ่งเป็นที่รู้จักจากสรรพคุณช่วยรักษาสิว, ยากล่อมประสาท รักษาอาการวิตกกังวล นอนไม่หลับ อย่าง วาเลียม (Valium), ซาแน็ก (Xanax) หรือแม้แต่ยาที่จ่ายให้กับหญิงวัยทอง อย่าง พรีมาริน(Premarin) ก็ทำให้เกิดอาการเครียด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยานั่นเอง

              สาเหตุของอาการเครียดอยู่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิดมาก เพราะฉะนั้น อย่าลืมที่จะอยู่อย่างรู้เท่าทันปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการเครียด และเอาใจใส่ภาวะจิตใจให้แข็งแรงอยู่เสมอนะคะ
เฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลน เกิดในปี ค.ศ. 1480 ที่เมืองซาโบรซา หรือโปร์ตู ประเทศโปรตุเกส บิดาและมารดาของแมกเจลแลน เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุเพียง 10 ขวบ จึงไม่มีประวัติตอนเด็กที่เด่นชัดนัก เนื่องจากครอบครัวของแมกเจลแลน เป็นขุนนางชั้นสูง ทำให้เขาเป็นเด็กรับใช้ในวังของราชินีลีโอนอร์ ชายาของพระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งโปรตุเกส แมกเจลแลน แต่งงานกับ บรีทริซ บาร์โบซา มีบุตรสองคน

ประสบการณ์เดินทางครั้งแรกของเฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลน เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1505 เมื่อเขาอายุได้ 25 ปี โดยเขาถูกส่งไปที่อินเดียเพื่อแต่งตั้ง ฟรานซิสโก เดอ อัลไมดา เป็นผู้สำเร็จราชการชาวโปรตุเกส การเดินทางครั้งนี้ทำให้แมกเจลแลน มีประสบการณ์สงครามเป็นครั้งแรก เมื่อกษัตริย์ในพื้นที่นั้นซึ่งได้มอบเครื่องบรรณาการให้แก่ วาสโก ดา กามา แล้วก่อนหน้านั้นสามปี ปฏิเสธที่จะมอบเครื่องบรรณาการให้แก่อัลไมดา ส่งผลให้เกิดสงครามดีอูในปี ค.ศ.1509 หลังจากที่เฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลน หนีสงครามครั้งนี้ทำให้เป็นที่เกลียดชังของอัลไมดา และอัลไมดาได้กล่าวหาว่าเขาทำการค้าที่ผิดกฎหมายกับพวกมัวร์ (Moors) ตามมาด้วยข้อกล่าวหาอื่น ๆ จนทำให้แมกเจลแลน ต้องออกจากราชการ

ในปลายศตวรรษที่ 15 นักเดินเรือในโปรตุเกสชื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้คิดแผนการที่จะออกเดินทางค้นหาเส้นทางไปยังทวีปเอเชียโดยการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แทนการอ้อมใต้ทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นเส้นทางปกติในสมัยนั้น โดยโคลัมบัสมีจุดหมายที่จะเปิดสัมพันธ์ทางการค้ากับทวีปทางเอเชียโคลัมบัสออกเดินทางจากสเปน ในปลายปี ค.ศ.1492 ใช้เวลาเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกว่า 2 เดือน เป็นระยะทางกว่า 4,000 ไมล์ ซึ่งเกินกว่าระยะทางที่โคลัมบัสได้คำนวณไว้ล่วงหน้า แต่ที่จริงแล้วเขายังไปได้ไม่ถึงครึ่งของเส้นทางสู่เอเชียด้วยซ้ำ

ถึงแม้โคลัมบัสจะไม่พบเส้นทางไปยังทวีปเอเชีย การค้นพบแผ่นดินทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกทำให้มีนักเดินเรือ และนักสำรวจจำนวนมากเดินทางข้ามมหาสมุทร แอตแลนติกเพื่อสำรวจโลกใหม่และค้นหาเส้นทางไปยังทวีปเอเชียผ่านโลกใหม่

ขณะนั้นโปรตุเกสกับสเปนทำความร่วมกันเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ.1494 ที่แบ่งการครอบครองโลกระหว่างโปรตุเกสกับสเปน โดยโปรตุเกสทำการสำรวจและครอบครองซีกโลกตะวันออก สวนสเปนทำการสำรวจและครอบครองซีกโลกตะวันตก ทำให้กษัตริย์สเปนตัดสินใจส่งทีมสำรวจออกไปเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปเอเชีย

แมกเจลแลน เสนอแผนการที่จะค้นหาเส้นทางลัดไปยังทวีปเอเชียโดยอ้อมทางใต้ของโลกใหม่ (หรือทวีปอเมริกาใต้ในปัจจุบัน) ต่อกษัตริย์ชารลส์ที่หนึ่ง แห่งสเปน โดยเขาคาดการณ์ว่าเมื่อเดินทางอ้อมใต้โลกใหม่ไปแล้วเขาสามารถเดินทางไปถึงหมู่เกาะ เครื่องเทศได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่ถูกปฏิเสธจากพระเจ้ามานูแอล กษัตริย์โปรตุเกส แผนการเดินทางของเขากลับได้รับความสนใจจากกษัตริย์สเปน เนื่องจากในขณะนั้นโปรตุเกสกำลังควบคุมเส้นทางเดินเรือไปยังเอเชียผ่านทางทวีปแอฟริกา สเปนจึงต้องการเส้นทางไปยังเอเชียของตนเองด้วยเช่นกัน และกษัตริย์ชารลส์ที่หนึ่ง ได้มอบเรือจำนวน 5 ลำ ให้อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา คือ ไตรนิดาด (Trinidad) ซาน แอนโทนิโอ (San Antonio) คอนเซปซิออน (Concepcion) วิคตอเรีย (Victoria) และ ซานติเอโก (Santiago) พร้อมลูกเรือ ให้กับเขา โดยมีข้อแม้ว่าเขาต้องใช้ลูกเรือชาวสเปนเป็น ส่วนใหญ่ แม้ว่าเขาจะเป็นชาวโปรตุเกสก็ตาม

แมกเจลแลน ออกเดินทางจากสเปนในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ.1519 รัฐบาลสเปนไม่ค่อยจะไว้ใจเขาเท่าใดนักเนื่องจากพื้นเพสัญชาติของเขาที่เป็นชาวโปรตุเกสด้วยเหตุนี้จึงป้องกันด้วยการสับเปลี่ยนให้ลูกเรือบนเรือที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาให้เป็นชาวสเปนเกือบทั้งหมด แม้ว่าเขาจะจัดคนประมาณ 270 คน ก่อนออกเดินทาง ในตอนนั้นตั้งแต่บราซิลกลายเป็นอาณาจักรของโปรตุเกส แมกเจลแลน จึงต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ และวันที่ 13 ธันวาคม คณะเดินทางได้ทอดสมอใกล้กับเมือง ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ในปัจจุบัน และได้มีการหาเสบียงอาหารมาเพิ่มเติม แต่สภาวะอุปสรรคต่าง ๆ ก็เป็นสาเหตุให้พวกเขาเดินทางช้าลง หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเรือไปทางใต้ตามชายฝั่งทางทิศตะวันออกของอเมริกาใต้ มุ่งไปทางช่องแคบซึ่งแมกเจลแลน เชื่อว่าจะนำไปสู่หมู่เกาะเครื่องเทศ และเหยียบเมืองริโอ เดอ ลา พลาทา เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ.1520

เส้นทางของแมกเจลแลน ตัดผ่านช่องแคบทางใต้ของอเมริกาใต้ที่ติดต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก และมหาสมุทรแปซิฟิกเรือซานติเอโกที่ถูกส่งไปตามชายฝั่งเพื่อสอดแนมเส้นทางอับปางลงเพราะพายุ ลูกเรือทั้งหมดปลอดภัยและหยุดพักตามชายฝั่งก่อนที่จะออกเดินเรืออีกครั้ง และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ก็กองเรือก็ได้เดินทางมาถึง แหลมเวอร์จีนส์ และพวกเขาได้เจอเส้นทางเนื่องจากน้ำเป็นน้ำทะเลและเส้นทางลึกเข้าไปในแผ่นดิน เรือทั้งสี่ลำเริ่มเดินทางด้วยความยากลำบากตลอดระยะ 600 ก.ม. เนื่องจากเรือแล่นผ่านเส้นทางนี้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันทางศาสนาเพื่อระลึกถึงนักบุญทั้งหมด ปัจจุบันเส้นทางนี้เรียกว่า “ช่องแคบแมกเจลแลน”

ในตอนแรกแมกเจลแลน มอบหมายให้เรือคอนเซปซิออนและเรือซาน แอนโทนิโอ สำรวจช่องแคบ แต่ต่อมาภายหลังมีเรือลำหนึ่งละทิ้งหน้าที่นั้นแล้วให้กลับสเปนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน และเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน เหลือเรือเพียง 3 ลำที่เข้าสู่แปซิฟิกใต้ แมกเจลแลน ตั้งชื่อให้ว่า “มาร์ แปซิฟิโก” เนื่องจากเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่อีกแห่งที่คลื่นลมสงบมาก และ Pacific มาจากภาษาละตินแปลว่า “ความสงบ-สันติ”

แมกเจลแลน เป็นชาวยุโรปคนแรกที่มาถึงหมู่เกาะเตียรร์รา เดล ฟูเอล โก 
การค้นหาเส้นทางผ่าน แผ่นดินใหญ่ และความหนาวเย็นของทะเลใกล้ขั้วโลกใต้ ทำให้แมกเจลแลน เสียเวลาจนถึงปลายปี ค.ศ.1520 กว่าจะผ่านช่องแคบแมกเจลแลน ออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกการที่เขาใช้เวลาข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกนานกว่าที่ประมาณไว้มากทำให้ปริมาณอาหารและน้ำจืดไม่เพียงพอ ในระหว่างนี้ทำให้เขาต้องสูญเสียลูกเรือไปอีก 19 คน ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1521 แมกเจลแลน เดินทางมาถึง หมู่เกาะซึ่งเป็นประเทศฟิลิปปินส์ในปัจจุบัน ใช้เวลาข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งหมดกว่าสามเดือน

การเดินทางในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พิกาเฟตตา ผู้ติดสอยห้อยตาม แมกเจลแลน ได้บันทึกไว้ว่า 
“วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน เราผ่านช่องแคบได้สำเร็จออกมาสู่มหาสมุทรที่เราตั้งชื่อให้ว่า แปซิฟิค แล้วเราก็แล่นเรื่อเข้าสู่ทะเลลึกเป็นเวลา 3 เดือน 20 วัน โดยไม่เห็นฝั่งและไม่มีเสบียงเพิ่มเติม...ขนมปังกรอบมันยุ่ยกลายเป็นฝุ่นไปหมดแถมเหม็นเยี่ยวหนูด้วย น้ำดื่มก็เหม็นเต็มทีเราต้องจำใจกินกันเข้าไป แต่ถึงอย่างไรเราก็จะไม่อดตายหรอกเพราะเรายังมีหนังสัตว์อีกมาก คือแผ่นหนังที่ใช้บุ่จุดสำคัญๆในเรื่อเช่นตรงที่จะถูกเชือกถูไถอยู่บ่อยๆเป็นต้น มันแข็งมากเพราะโดนแดดโดนน้ำมานาน ต้องเอาแช่น้ำทะเลตั้ง 4-5 วัน จึงอ่อน เราเอามาปิ้งกินกัน...อดหนักๆเข้าบางทีต้องกินขี้เลื่อย กินเนื้อหนูที่แสนจะขยะแขยง ไล่จับเอาในเรือนี่แหละที่ร้ายกาจก็คือหลายคนเป็นโรคเหงือกบวม บวมมากขนาดเคี้ยวอาหารไม่ได้ ลูกเรือ 19 คนต้องตายไปเพราะโรคนี้”

“6 มีนาคม 1521 ก็ตุปัดตุเป๋ไปถึงเกาะกวมแบบเกือบจะหมดแรงพักฟื้นอยู่ 10 วัน ได้เสบียงและน้ำจืดแล้วต้องรีบเผ่น เพราะที่นี่ขโมยชุมยิ่งกว่ายุง แมกเจลแลน ตั้งชื่อให้ว่า เกาะขโมย โต้คลื่นไปไม่นานก็ถึงเกาะซามาร์จองฟิลิปปินส์ พบชาวบ้านมีเครื่องเทศไว้กินกันเยอะแยะ จากนั้นก็เดินทางไปถึงเกาะซีบู ของฟิลิปปินส์ เคราะห์หามยามร้ายเกิดขึ้นที่นี่คือ แมกเจลแลน เกิดไปตกปากรับคำช่วยกษัตริย์ แห่งซีบู ปราบเกาะมาตันที่ทำกำแหงหาญแต่เขาเกิดพลาดท่าเสียทีโดนอาวุธจนต้องเสียชีวิตไปเมื่อ 27 เมษายน 1521”

เมื่อถึงฟิลิปปินส์ เขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างคน พื้นเมือง โดยวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1520 กองเรือสเปนได้รับการต้อนรับจากชาวพื้นเมืองอย่างดี แต่ในระหว่างนั้นกำลังมีสงครามอยู่กับเมืองลาปูลาปู (Lapu-Lapu City) แมกเจลแลนและลูกเรือจึงอาสาเข้าไปช่วยเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ จนถูกชาวมัคตานซึ่งเป็นชนพื้นเมืองสังหารในที่สุด

นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ทันได้ถึงหมู่เกาะเครื่องเทศ แต่เขาก็ได้พิสูจน์ว่าโลกกลมได้สำเร็จ และสเปนก็ได้รับสิ่งตอบแทนจากเขาเป็นดินแดนต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งฟิลิปปินส์ด้วย ลูกเรือที่เหลืออยู่ จึงเดินทางต่อไปตามเกาะแก่งต่างๆพบว่ามีเครื่องเทศมากมาย บางอย่างก็ขึ้นเองอยู่ในป่า ซึ่งพิกาเฟตตาได้บันทึกไว้ว่ามีทั้งต้นจันทน์เทศ ขิง อบเชย และอื่นๆอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน

จากนั้นลูกเรือสเปนที่เหลือก็ได้ออกเดินทางกลับสเปนนับเป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรก ภายหลังได้มีการสร้างอนุสาวรีย์บริเวณจุดที่แมกเจลแลน เสียชีวิตที่เมืองลาปูลาปู จังหวัดเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ และตั้งชื่อ ช่องแคบแมกเจลแลน (Straits of Magellan) ซึ่งอยู่ระหว่างปลายสุดแผ่นดินใหญ่อเมริกาใต้กับหมู่เกาะเตียรร์รา เดล ฟูเอล โก (Tierra del Fuego) ประเทศชิลี นอกจากนั้นยังนำไปใช้ตั้งชื่อหมู่กาแล็กซีเล็ก ๆ ที่เห็นบนท้องฟ้าแถบใต้ยามค่ำคืน ตามที่เขาได้สังเกตเห็นและบันทึกเอาไว้เป็นคนแรก ชื่อว่า เมฆแมกเจลแลน (Magellanic Clouds)

ถึงแม้จะเสียผู้นำใหญ่ไป เมื่อลูกเรือทั้งหมดก็รู้ว่าตนได้เดินทางมาถึงเอเชียแล้ว จึงได้เดินทางต่อไปยังหมู่เกาะเครื่องเทศ หรืออินโดนีเซียในปัจจุบัน ก่อนที่จะกลับสเปนตามแผนเดิมของแมกเจลแลน ด้วยลูกเรือที่เหลืออยู่ 115 คน กับเรือ 2 ลำ เนื่องจากเรือลำที่สามถูกเผาทิ้งเพราะจำนวนคนไม่พอที่จะเดินเรือทั้งสามลำ

เมื่อเรือทั้งสองลำซื้อกานพลูเต็มลำดีแล้วก็ออกเดินทาง 11 ธันวาคม ค.ศ.1521 เพื่อกลับสเปนแต่เรื่อที่ชื่อ ทรินิแดด เกิดรั่ว ต้องจูงเข้าฝั่งขนเครื่องเทศขึ้นกันโกลาหล จัดการซ่อมกันอยู่พักใหญ่ก็ไม่สำเร็จเรือวิคตอเรียที่เหลือเป็นลำสุดท้ายต้องขนเครื่องเทศออกบ้างเพราะกลัวจะไปจมกลางทาง เดลคาโน เป็นกัปตัน พิกาเฟตตา มากับลำนี้ด้วย 6 พฤษภาคม ค.ศ.1522 อ้อมแหลมกู๊ดโฮปได้ ลูกเรืออดอยากกันมาก อากาศก็เลวร้าย ทะเลปั่นป่วนลูกเรือตายไป 21 คน ไปถึงเกาะ เวอร์ดี ของปอร์ตุเกส กัปตันคาโนยอมเสี่ยงขึ้นไปหาเสบียง แต่ไม่นานนักทหารโปรตุเกสก็จับได้ว่าเป็นพวกสเปน ลูกเรือเลยโดนจับไป 13 คน คาโน รีบพาเรือวิคตอเรียหนีไปได้ทัน จนถึงสเปนเมื่อ 8 กันยายน ค.ศ.1522 ลูกเรือ 60 คนเหลืออยู่เพียง 18 คนเท่านั้น รวมเวลาเดินทางทั้งสิ้นเกือบ 3 ปี

แม้แมกเจลแลนจะต้องเสียชีวิตไปก่อนที่จะถึงหมู่เกาะเครื่องเทศ แต่การเดินเรือของเขาในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เพราะสามารถพิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าโลกของเรานั้นมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ความยิ่งใหญ่ของเขานั้นถูกบันทึกไว้โดยผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ พิกาเฟตตาได้บันทึกถึงการสูญเสียในครั้งนี้เอาไว้ว่า “เราได้สูญเสียผู้นำที่เป็นทั้งแสงสว่าง และผู้สนับสนุนพวกเราไป แต่ความยิ่งใหญ่ของนาม แมกเจลแลน จะยังคงทำให้แมกเจลแลน มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไม่ดับสูญ”

Nelson Mandela




เนลสัน โรลีลาลา แมนเดลา (กโฮซาNelson Rolihlahla Mandela[xoˈliɬaɬa manˈdeːla]) เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ที่ดินแดนปกครองตนเองทรานสไก ประเทศแอฟริกาใต้[1] ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2537-2542 และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งตามกระบวนการทางประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ก่อนหน้าการดำรงตำแหน่งนี้นี้ เขาได้เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยงเพื่อต่อต้านการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา และได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านใต้ดินโดยใช้อาวุธ เช่น การก่อวินาศกรรม ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำต่างชาติที่นิยมการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ เช่น มาร์กาเรต แทตเชอร์ และโรนัลด์ เรแกน ได้ประณามกิจกรรมเหล่านี้ว่าเป็นการก่อการร้าย
เขาถูกจำคุกเป็นเวลาทั้งสิ้น 27 ปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการถูกคุมขังในห้องขังเล็ก ๆ บนเกาะโรบเบิน การถูกคุมขังนี้ได้กลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความอยุติธรรมของนโยบายการถือผิวที่ถูกกล่าวถึงไปทั่ว เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2533 นโยบายประสานไมตรีที่เนลสันได้นำมาใช้ทำให้แอฟริกาใต้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งประชาธิปไตย เป็นที่ยกย่องอย่างสูงภายในประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ชาวแอฟริกันขนานนามสมาชิกชายอาวุโสของตระกูลแมนเดลาอย่างให้เกียรติว่า มาดิบา แต่มักเจาะจงหมายถึงเนลสัน แมนเดลาเท่านั้น เนลสัน แมนเดลา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ที่บ้านของเขาในโจฮันเนสเบิร์ก หลังจากเจ็บป่วยมาเป็นเวลานาน
เขาได้รับรางวัลต่าง ๆ มากกว่า 250 รางวัลตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษ รางวัลที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2536

Vasco da gama

วาชโกดา กามา (โปรตุเกสVasco da Gama; ประมาณ พ.ศ. 2003-2068)  ตามการออกเสียงในภาษาอังกฤษ เป็นนักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกส เกิดที่เมืองซีนิช แคว้นอาเลงเตชู ประเทศโปรตุเกส สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้บพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียระหว่างปี พ.ศ. 2040-42 โดยแล่นเรือตรงจากกรุงลิสบอน ไปถึงชายฝั่งมะละบาร์ ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย โดยแล่นเรืออ้อมผ่านแหลมกู๊ดโฮป ทางตอนใต้ของแอฟริกาซึ่งบาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เป็นผู้ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2031
วัชกู ดา กามา ได้รับมอบหมายจากกษัตริย์มานูเอล ที่ 1 แห่งโปรตุเกสให้ไปค้นหาอินเดียที่เชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นแผ่นดินคริสเตียนที่เล่าลือแพร่หลายเกี่ยวกับ เปรสเตอร์ จอห์น พระคริสเตียนแห่งอินเดียผู้ครอบครองนคร 100 แห่งในโลกตะวันออก รวมทั้งเพื่อการหาลู่ทางเปิดตลาดค้าขายกับโลกตะวันออก
ต่อมา อีกครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2045-2047 วัชกู ดา กามา ได้นำกองเรือมุ่งสู่กาลิกัต (Calicat) เพื่อล้างแค้นจากการที่กลุ่มนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เปดรู อัลวาริช กาบราล (นักสำรวจสำคัญของโปรตุเกส) ปล่อยไว้ที่นั่นถูกฆ่า ในปี พ.ศ. 2067 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดีย แต่ต่อมาไม่นาน วัชกู ดา กามา ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตที่โคชิน (Cochin) และได้รับการนำศพกลับโปรตุเกส
วัชกู ดา กามา มีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช)



วาสโก ดา กามา นักสำรวจชาวโปรตุเกสพร้อมลูกเรือ ค้นพบอินเดีย