วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

10 อันดับแอร์โฮสเตสสวยที่สุดในโลก

JetRadar เว็บไซต์เปรียบเทียบและค้นหาตั๋วเครื่องบิน เผย 10 อันดับแอร์โฮสเตสที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในโลก โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ www.wonderslist.com/10-attractive-airlines-stewardess โดยกล่าวว่า อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแทบทุกสายการบินมักเลือกพนักงานต้อนรับโดยเน้น “หน้าตา” เพราะถือเป็นหน้าตาของสายการบินเช่นกัน สายการบินแต่ละแห่งจึงพิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกรูปร่างหน้าตาของพนักงานต้อนรับ ไปจนถึงการจัดหายูนิฟอร์มให้ดูสวยงาม น่าสนใจ และเป็นจุดขายโฆษณาสายการบินไปในตัว
 
ทั้งนี้ 10 อันดับแอร์โฮสเตสที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในโลก มีดังนี้
 
1. สายการบิน Air France
 
สายการบิน Air France
 
สาวฝรั่งเศสดูหลงใหลน่าค้นหาตามสไตล์ฝรั่งเศส สาวๆ ทุกคนจึงไฮโซดูดี ด้วยความที่เป็นประเทศแห่งแฟชั่น ดังนั้น พนักงานต้อนรับทุกคนเปรียบเสมือนสวมวิญญาณนางแบบ เดินไปมาตามทางเดินบนเครื่องประหนึ่งมาเดินแคทวอล์ค ในชุดที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกอย่าง Christian Lacroix
 
2. สายการบิน Singapore Airlines
 
สายการบิน Singapore Airlines
 
สาวสิงคโปร์ดูมีคลาส แต่ยิ้มเป็นกันเองให้เสมอ ไม่ต้องแต่งหน้าจัดเหมือนสายการบินอื่นๆ แค่มาในชุดประจำชาติ “Sarong Kebaya” ก็ประทับใจผู้โดยสารได้ไม่ยาก ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้โดยสาร นิตยสาร องค์กรในอุตสาหกรรมการบิน ว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านการบริการบนเครื่อง การันตีด้วยรางวัลบริการของลูกเรือที่ดีที่สุดในโลกเป็นเวลา 17 ปีติดต่อกัน
 
3. สายการบิน Aeroflot
 
สายบิน Aeroflot
 
สาวรัสเซียสวยคม หน้าผมเป๊ะทุกคน ได้รับการโหวตเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องยูนิฟอร์มของพนักงานต้อนรับที่ดูดีที่สุดในโลก ด้วยเอกลักษณ์หมวกทรงทหาร กับผ้าพันคอผูกเป็นโบ เก๋ไก๋ดูมีคลาส 
 
4. สายการบิน Kingfisher Airlines
 
สายการบิน Kingfisher Airlines
 
สไตล์การแต่งเสื้อผ้าหน้าผมคล้ายกับแอร์เอเชีย แต่เป็นสไตล์อินเดีย ตาคมแบบภารตะ ที่หนุ่มยุโรปต่างเทโหวตให้ไม่แพ้สาวแอร์เอเชีย ในฐานะแอร์ที่ฮ็อตที่สุดในโลก
 
5. สายการบิน Cathay Pacific
 
สายการบิน Cathay Pacific
 
สายการบินชั้นนำของเอเชีย เหมือนกับพนักงานที่บริการเยี่ยม สาวหมวยหน้าตาน่ารักขนาดไปเป็นนางแบบได้สบายๆ 
 
6. สายการบิน Emirates
 
สายการบิน Emirates
 
สาวสวยจากทั่วโลกมาเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินเอมิเรตส์ บริการได้ทุกภาษา สูงสง่า หน้าคม มีคลาส เหมือนกับบริการบนเครื่องที่ติดระดับ 5 ดาว ชุดแอร์รัดกุมราวกับกำลังบินโดยสายการบินของทหาร แต่สายการบินนี้มีรางวัลการันตีถึงคุณภาพมากมาย
 
7. สายการบิน Air Asia
 
สายการบิน Air Asia
 
เป็นสาวๆ สายการบินเดียวในโลกที่ไม่ม้วนเก็บผม มาพร้อมหุ่นนางแบบเอเชียในชุดสีแดง แต่ถ้าไม่สั่งอาหารบนเครื่อง แอร์ก็จะไม่ค่อยได้แวะเวียนมาให้บริการ นอกจากนั้นยังมีตำแหน่งเป็นสายการบิน low-cost ที่ดีที่สุดอีกด้วย 
 
8. สายการบิน Lufthansa
 
 
แอร์สาวสัญชาติเยอรมัน แต่มีหน้าตาหลากหลาย ตั้งแต่สไตล์ตุรกีไปจนถึงเอเชีย แต่น้ำเสียงภาษาด๊อยชท์อาจจะแข็งๆ ไม่ไพเราะชวนฝัน และยังเป็นหนึ่งในสายการบินที่แอร์เป็นมิตรและให้บริการดีที่สุดสายหนึ่งในยุโรป 
 
9. สายการบิน Thai Airways International
 
สายการบิน Thai Airways International
 
ให้บริการทุกระดับประทับใจ เน้นการให้บริการบนเครื่องที่ดีที่สุด แม้จะตัวสูงไม่เท่าแอร์โฮสเตสฝรั่ง แต่ก็ ได้รับรางวัลมากมายจากชุดแอร์ที่คงเอกลักษณ์ความเป็นไทยและสวยงามด้วยผ้าไหม 
 
10. สายการบิน Virgin Atlantic
 
สายการบิน Virgin Atlantic
 
ชุดสีแดงกระชากใจ รัดรูปเห็นสัดส่วน พร้อมผ้าพันคอไหมพรมบางๆ นุ่มๆ แต่ความที่เป็นสาวอังกฤษ หุ่นจึงไม่บางเหมือนสาวเอเชีย ได้รับตำแหน่งแอร์ที่ “น่าหลงใหล” ที่สุดของยุโรปในปี 2011 

แก๊สน้ำตา

แก๊สน้ำตา (อังกฤษLachrymatory agent, Lachrymator หรือ Tear gas) เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาและแก้วตาดำทำให้มีน้ำตาไหลออกมาก เยื่อบุตาจะแดงและแก้วตาดำจะบวม ตามองไม่เห็น น้ำมูกน้ำลายไหล ไอ หายใจลำบาก ส่วนใหญ่จะหายเองภายในหนึ่งชั่วโมง แก๊สน้ำตาถูกใช้เป็นอาวุธประเภทก่อกวนในการปราบจลาจลเพื่อสลายการชุมนุม การใช้งานมีทั้งการยิงจากเครื่องยิงแก๊สน้ำตา และใช้แบบระเบิดขว้าง
ในประเทศไทย แก๊สน้ำตาถูกนำเข้ามาใช้ครั้งแรกในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ไม่นาน โดยกระทรวงมหาดไทย มีการแถลงข่าวสาธิตการใช้ที่สนามเป้า และสามเสน
ทางกรมวิทยาศาสตร์ทหารบกได้ทำวิจัยลูกระเบิดขว้างแก๊สน้ำตา มีระยะเวลาการเกิดควัน 50 วินาที ครอบคลุมพื้นที่ 150 ตารางเมตร

การเป็นพิษ

ถ้ามีการสูดหายใจแก๊สน้ำตาเข้าไป จะทำให้มีการระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก หลอดลมและปอด ทำให้ มีอาการไอและจาม ถ้าเป็นมากอาจถึงหลอดลมอักเสบและปอดอักเสบได้[4] การสัมผัสดวงตาและผิวหนัง มีผลให้เกิดการไหม้และระคายเคืองทันทีตามบริเวณที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตา อาการที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสแก๊สน้ำตา ได้แก่
  • น้ำตาไหล มองเห็นไม่ชัด ตาแดง
  • น้ำมูกไหล จมูกบวมแดง
  • ปากไหม้และระคายเคือง กลืนลำบาก น้ำลายไหลย้อย
  • แน่นหน้าอก ไอ รู้สึกอึดอัด หายใจมีเสียงดัง หายใจถี่
  • ผิวหนังไหม้ เป็นผื่น
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • หากโดนในปริมาณมากๆอาจทำให้ตาบอดสนิทและหูหนวกได้
  • โดยทั่วไปแล้วแก๊สน้ำตาจะไม่มีส่วนผสมของวัตถุระเบิด แต่หากแก๊สน้ำตามีส่วนผสมของวัตถุระเบิด เมื่อยิงเข้าในแนววิถีตรงจะทำให้สูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิตได้
โดยปกติแล้ว หลังจากออกมาจากบริเวณที่มีแก๊สน้ำตาและทำความสะอาดร่างกายแล้ว อาการที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ประมาณ 30-60 นาที เท่านั้น ถ้าสัมผัสแก๊สน้ำตาเป็นเวลานานๆ เช่น มากกว่า 1 ชั่วโมง หรือได้รับสัมผัสปริมาณมากๆ ในพื้นที่อับอากาศ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้ เช่น ตาบอด ต้อหิน ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตเนื่องจากสารเคมีจะไหม้ลำคอและปอด

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Foie gras (ตับห่าน)

ตับห่าน หรือเรียกอีกชื่อว่า"ฟัวกรา"


ฟัวกรา (ฝรั่งเศส: Foie gras [fwɑ gʁɑ]) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา

ฟัวกราส์เป็นอาหารราคาแพง ราคาเริ่มต้นที่ เจ็ดสิบยูโรต่อกิโล ไปเรื่อย ๆ เคยเห็นสูงสุดที่ร้อยห้าสิบยูโร แต่คงมีสูงกว่านี้ แต่ยังแพงน้อยกว่าไข่ปลาคาเวียร์ รสชาติก็คงตามราคา กินตามงานเลี้ยง และร้านอาหารที่มีในเมนูที่สั่งบ้าง แต่บ่อยหรอก โดยฟัวกราส์ ถ้าคุณภาพดี เนื้อตับจะแน่น เนื้อละเอียด นุ่มลิ้นไม่ต้องเคี้ยว ใช้ลิ้นดันให้ละลายในปากได้


การที่จะทำฟัวกราส์สักชิ้นนั้นส่วนใหญ่มักใช้เป็ด Moulard ขุน และเมืองที่ขึ้นชื่อทำตับห่านมากที่สุดคือเมือง Strassburg เนื่องจากเมืองนั้นเป็นผู้ผลิตหลักของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดนี้

ฟัวกราส์เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักกันดีในรสชาติละเอียดอ่อนบวกกับฝีมือการทำอาหารฝรั่งเศสทำให้รสชาติของมันไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูด ทำให้ตับห่านฟัวกราส์ที่ออกมาวางขายแต่ละครั้งมักขายหมดไปอย่างรวดเร็ว

ต้นกำเนิดฟัวกราส์แท้ๆ ไม่ใช้ฝรั่งเศส เพราะจากประวัติศาสตร์โลกพบว่าการเลี้ยงขุนสัตว์ปีกด้วยหลอดอาหารที่มีอายุเก่าแก่พบว่ามันมีมาตั้งแต่ 2500 BC มาแล้ว โดยในประเทศอียิปต์คนโบราณเริ่มขุนนกโดยการสอดหลอดใส่อาหารบังคับให้มันอ้วน โดยหลักฐานอยู่ในในสุสานของ Saqqara ที่Mereruka มีภาพผนังรูปคนกำลังบังคับนกให้กินอาหารทางหลอดอาหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศอียิปต์ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีการรู้จักวิธีนี้มานานจากนั้นักกวีกรีกชื่อ Cratinus ได้เขียนเกี่ยวกับการขุนอาหารนี้เช่นกันโดยเล่าว่าประเทศอียิปต์มีชื่อเสียงและต้นกำเนิดการขุนอ้วน ต่อมา361 BC เมื่อกษัตริย์เมืองสปาตาชื่อ Agesilaus ได้ไปเยี่ยมประเทศอียิปต์ใน และเขาก็สนใจการขุนอาหารแบบนี้เลยเผยแพร่เข้าไปยุโรปในกาลต่อมา และมันก็เผยแพร่ไปทั่วโลก เช่น สหรัฐ และจีนในที่สุด

อย่างไรก็ตามฟัวกราส์ในแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน การขุนอาหารก็ต่างกันด้วยเช่นใช้ลูกพิชในการขุน ใช้อาหารหมาในการขุน หรือพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งอาหารที่แต่ชนิดทำให้สัตว์ที่กินมีการขยายของตับต่างกัน


ทุกวันนี้ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตฟัวกราส์มากที่สุด และผู้บริโภคฟัวกราส์มากที่สุดด้วย นอกกจากนี้ยังมีประชาชาติชาวยุโรปอื่น สหรัฐ และจีนซึ่งเป็นผู้ผลิต-บริโภคฟัวกราสต์เป็นอันดับต้นๆ ของจากสถิตทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราส์ประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราส์จากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราส์ใน พ.ศ.2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน