วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

สีของพาสปอร์ต บ่งบอกอะไร

สำหรับผู้ที่ประสงค์อยากเดินทางไปต่างประเทศ  สิ่งแรกที่ทุกคนต้องมีคือ  หนังสือเดินทางหรือที่ทุกคนเรียกว่า พาสปอร์ต (passport) ซึ่งเป็นเอกสารที่ใช้แสดงความเป็นตัวท่านที่ถือเป็นสากล  ใช้ได้ทั่วโลก  และยังเป็นสมุดบันทึกการเดินทางเข้าออกประเทศต่าง ๆ อีกด้วย
หนังสือเดินทางไทย (Thai passport) เป็นหนังสือเดินทางที่ออกให้เฉพาะประชาชนไทย โดยกองหนังสือเดินทางกระทรวงการต่างประเทศ สามารถออกในประเทศไทยโดย หน่วยงานในสังกัด กองหนังสือเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศ บางกรณีอาจจะออกได้ที่ สถานเอกอัครราชทูตในต่างประเทศ หรือสถานกงสุลไทยทั้ง 86 แห่ง

ลักษณะของพาสปอร์ต (หนังสือเดินทาง)
หนังสือเดินทางประเทศไทยสำหรับประชาชนทั่วไปรุ่นปัจจุบันจะมีสีแดงเลือดหมูโดยมีตราครุฑอยู่ตรงกลางที่ปกด้านหน้า และคำว่า “หนังสือเดินทาง ประเทศไทย” (อยู่ต่างบรรทัดกัน) อยู่ด้านบนสุด ส่วนคำว่า “THAILAND PASSPORT” (อยู่ต่างบรรทัดกัน) อยู่ใต้ตราครุฑ ด้านล่างสุดจะเป็นสัญลักษณ์ของหนังสือเดินทางที่มีข้อมูลทางชีวภาพ (biometric passport) อักษรและสัญลักษณ์ที่หน้าปกเป็นสีทอง

ประเภทของพาสปอร์ต (หนังสือเดินทาง)          หนังสือเดินทางประเทศไทยในปัจจุบันมี 4 ประเภท ดังนี้
หนังสือเดินทางธรรมดา (หน้าปกสีแดงเลือดหมู)          ออกให้สำหรับประชาชนทั่วไป หนังสือเดินทางมีอายุไม่เกิน 5 ปี
 หนังสือเดินทางราชการ (หน้าปกสีน้ำเงินเข้ม)          หนังสือเดินทางมีอายุไม่เกิน 5 ปี  ผู้ถือต้องใช้ในราชการเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ในการเดินทางส่วนตัว  โดยมีข้อกำหนดออกเฉพาะข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่จัดตั้งตามรัฐธรรมนูญ สมาชิกรัฐสภาซึ่งเดินทางไปราชการในต่างประเทศ และบุคคลอื่นใดที่เดินทางเพื่อทำประโยชน์แก่ทางราชการตามที่กระทรวงการต่างประเทศอนุมัติ

 หนังสือเดินทางทูต (หน้าปกสีแดงสด)        ประเภทนี้จะมีอายุไม่เกิน 5 ปี ไม่สามารถต่ออายุเพิ่มได้ มีข้อกำหนดออกให้เฉพาะบุคคลดังต่อไปนี้
พระบรมวงศ์และพระนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระอนุวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าและคู่สมรส
พระราชวงศ์และบุคคลสำคัญที่ราชเลขาธิการขอไปเป็นกรณีพิเศษ
ประธานองคมนตรี และองคมนตรี
นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี
ประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา
ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา และประธานศาลอุทธรณ์
ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานศาลปกครองสูงสุด
อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ
ข้าราชการที่มีตำแหน่งทางการทูต ซึ่งเดินทางไปราชการในต่างประเทศ
ข้าราชการที่มีตำแหน่งทางการทูต ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่ ณ ส่วนราชการในต่างประเทศ คู่สมรส และบุตรในประเทศที่ประจำอยู่หรือทำการศึกษาอยู่ในประเทศอื่น แต่บุตรจะต้องอายุไม่เกิน 25 ปี
คู่สมรสที่ร่วมเดินทางไปกับบุคคลดังกล่าวในข้อ 2-8
บุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการหรือภายใต้พันธกรณีระหว่างประเทศ หรือภายใต้สถานการณ์พิเศษที่มีความจำเป็น หรือเผยแพร่ชื่อเสียงเกียรติคุณของประเทศไทย

 หนังสือเดินทางชั่วคราว (หน้าปกสีเขียว)          นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 ประเภทพิเศษ คือ
หนังสือเดินทางพระ ออกให้สำหรับพระภิกษุและสามเณรที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างประเทศตามนัยระเบียบมหาเถรสมาคม
หนังสือเดินทางเพื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์ ออกให้ชาวมุสลิมที่เพื่อเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ หนังสือเดินทางประเภทนี้จะมีอายุ 2 ปีเท่านั้น

AEC คืออะไร เกี่ยวข้องกับประเทศไทยอย่างไร

AEC ย่อมาจาก  Asean Economics Community แปลว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คือ  การรวมตัวกันของชาติใน Asean ทั้ง 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม,กัมพูชา , สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, บรูไน เพื่อจะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน ซึ่งจะมีรูปแบบคล้ายๆ กับกลุ่ม Euro Zone นั่นเอง จะทำให้มีผลประโยชน์, อำนาจการต่อรองต่างๆ กับคู่ค้าได้มากยิ่งขึ้น และในการนำเข้า – ส่งออกของชาติในอาเซียนก็จะมีความเสรี  ซึ่งอาจจะยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศอาจจะขอสงวนไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า ซึ่งเรียกสินค้าชนิดนี้ว่า  สินค้าอ่อนไหว
Asean นั้น จะรวมตัวเป็น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและมีผลอย่างจริงจัง  ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ณ วันนั้นจะทำให้ภูมิภาคแถบนี้เปลี่ยนไปอย่างมากอย่างที่เราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
AEC Blueprint (แบบพิมพ์เขียว) หรือแนวทางที่ต้องการจะให้ AEC เป็นไปคือ
1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน
2.การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
3. การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน
4. การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก
โดยให้แต่ละประเทศใน AEC ให้มีจุดเด่นต่างๆดังนี้
พม่า : สาขาเกษตรและประมง
มาเลเซีย : สาขาผลิตภัณฑ์ยาง และสาขาสิ่งทอ
อินโดนีเซีย : สาขาภาพยนต์และสาขาผลิตภัณฑ์ไม้
ฟิลิปปินส์ : สาขาอิเล็กทรอนิกส์
สิงคโปร์ : สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ และสาขาสุขภาพ
ไทย : สาขาการท่องเที่ยว และสาขาการบิน (ประเทศไทยอยู่ตรงกลาง ASEAN)
สำหรับนักธุรกิจไทยควรทำความเข้าใจและปรับตัวไห้เข้ากับ AEC เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันเวลา

ที่สุดในประเทศไทย

จังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุด
จังหวัดเชียงใหม่ 22,848,421 ตารางกิโลเมตร
จังหวัดที่มีพื้นที่น้อยที่สุด
จังหวัดสมุทรสงคราม 431,801 ตารางกิโลเมตร
ยอดเขาสูงที่สุด
ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่
จังหวัดที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากที่สุด
จังหวัดเชียงราย 2,575 เมตร หรือ 8,450 ฟุต
แม่น้ำที่ยาวที่สุด
แม่น้ำมูล ยาว 673 กิโลเมตร
ส่วนที่ยาวที่สุดของไทยจากเหนือสุด
อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงใต้สุด คืออำเภอเบตง จังหวัดยะลา ระยะทาง 1,620 กิโลเมตร
ส่วนที่กว้างที่สุดของไทยจากตะวันออก
ตำลบช่องแม็ก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ถึงตะวันตก คือ ด่านเจดีย์สามองค์ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทาง 750 กิโลเมตร
ส่วนที่แคบที่สุดของแผ่นดินไทย
ที่ตำบลคลองวาฬ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบฯ กว้างเพียง 10.6 กิโลเมตร
บริเวณที่แคบที่สุดของคาบสมุทรภาคใต้
คอคอดกระ อยู่ที่จังหวัดระนอง กว้าง 50-80 กิโลเมตร
เทือกเขาที่ยาวที่สุด
เทือกเขาตะนาวศรี ยาวประมาณ 834 กิโลเมตร สูงประมาณ 1,500 เมตร
บริเวณที่ฝนตกชุกที่สุด
จังหวัดระนอง ฝนตกเฉลี่ยปีละประมาณ 5,106.3 มิลลิเมตร
บริเวณที่ฝนตกน้อยที่สุด
จังหวัดตาก ฝนตกเฉลี่ยปีละประมาณ 951.1 มิลลิเมตร
ทางรถไฟสายที่ยาวที่สุด
ทางรถไฟสายใต้ จากสถานีธนบุรี ถึงสุไหงโก-ลก ยาว 1,144 กิโลเมตร
ทางหลาวแผ่นดินสายที่ยาวที่สุด
ทางหลวงหมายเลข 4 ถนนเพชรเกษม เริ่มจากกรุงเทพฯ ถึงคลองพรวน ระยะทาง 1,352 กิโลเมตร
พระนอนที่ยาวที่สุด
พระนอนวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กรุงเทพฯ ยาว 46 เมตร
พระพุทธยืนที่สูงที่สุด
หลวงพ่อโต วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ
พระพุทธรูปปางสมาธิที่ใหญ่ที่สุด
พระพุทธโคดม วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี
พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุด
พระสุโขทัยไตรมิตร วัดไตรมิตรวิทยาราม กรุงเทพฯ คิดเป็นทองคำหนัก 5 ตันครึ่ง หรือ 25,000 ปอนด์
เจดีย์ที่สูงที่สุด
พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม สูง 3 เส้น 1 คืบ 6 นิ้ว
สะพานที่ยาวที่สุด
สะพานติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา ยาว 2,950 เมตร
พันธุ์ปลาน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ปลาบึก พบในแม่น้ำโขง
วัดที่มีเจดีย์มากที่สุด
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) กรุงเทพฯ
นายกรัฐนมตรีที่อยู่ในตำแหน่งนานที่สุด
จอมพล ป. พิบูลสงคราม 14 ปี 11 เดือน 18 วัน
น้ำตกที่สูงที่สุด
น้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายก
ระฆังที่ใหญ่ที่สุด
ระฆังวัดกัลยาณมิตร เขตธนบุรี กรุงเทพฯ
เกาะที่ใหญ่ที่สุด
เกาะภูเก็ต พื้นที่ประมาณ 538,720 กิโลเมตร


เริ่มแรกมีรถเมล์ในประเทศไทย

ปี พ.ศ. 2428 ประเทศไทยมีรถเทียมม้า ซึ่งเรียกกันว่า “รถเมล์” และวิ่งตามเส้นทางเรือเมล์ที่มีอยู่ก่อนแล้ว แต่ให้บริการอยู่ประมาณ 2 ปี จึงเลิกกิจการเนื่องจากมีการนำรถรางเข้ามาใช้แล้ว
ปี พ.ศ. 2450 พระยาภักดีนรเศรษฐ หรือ นายเลิศ เศรษญบุตร เริ่มกิจการรถเมล์ขึ้นอีกครั้ง ให้บริการระหว่าง สะพานยศเส (สะพานกษัตริย์ศึก) กับตลาดประตูน้ำ ซึ่งเป็นต้นทางเรือเมล์ของนายเลิศในคลองแสนแสบด้วย เส้นทางนี้ยังไม่มีรถราง กิจการรถเมล์จึงไปได้ดี
ปี พ.ศ. 2456 นายเลิศนำรถยี่ห้อฟอร์ดเข้ามาให้บริการ และขยายเส้นทางไปถึงบางลำพู ย่านการค้าที่สำคัญของยุคนั้น ขนาดของรถใกล้เคียงกับรถม้า มี 3 ล้อ มีที่นั่งเป็นม้ายาว 2 แถว และนั่งได้ประมาณ 10 คน ขณะวิ่งจะมีเสียงโกร่งกร่าง ผู้คนจึงเรียกกันว่า “อ้ายโกร่ง” แต่บางคนเรียกว่า “รถเมล์ขาวนายเลิศ” เนื่องจากตัวรถมีสีขาว และมีเครื่องหมายกากบาทสีแดงในวงกลม
ด้วยนโยบาย “สุภาพ ซื่อสัตย์ ประหยัด ทันใจ เอากำไรน้อย บริการผู้มีรายได้น้อย” ทำให้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น กิจการก็เติบโตขึ้นด้วย จึงมีการพัฒนาเป็นรถ 4 ล้อ ที่ออกแบบขึ้นเอง มีที่นั่ง 2 แถวด้านข้าง ขยายเส้นทางออกไปอีกหลายสาย และมีผู้ประกอบการรายอื่นเพิ่มขึ้นมา รวมแล้วประมาณ 30 ราย ให้บริการไปทั่วกรุงเทพฯ ตัวรถเมล์มีทั้งสีแดง เหลือง และเขียว
ปี พ.ศ. 2497 เริ่มมีการจัดระเบียบรถเมล์ โดยรัฐบาลออก พ.ร.บ. ขนส่ง ควบคุมให้ผู้ประกอบการต้องขอใบอนุญาตก่อนทำกิจการรถเมล์
ปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลสมัยของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช (หม่อมน้อง) ให้รวมกิจการรถเมล์ในกรุงเทพฯ เป็นบริษัทเดียวกัน คือ บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด ซึ่งอยู่รูปแบบของรัฐวิสาหกิจ โดยรัฐและเอกชนถือหุ้นพอๆ กัน ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2519 รัฐบาลสมัยของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (หม่อมพี่) ได้ออกพระราชกฤษฎีการวมกิจการของ บริษัทมหานครขนส่ง จำกัด เข้ากับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงคมนาคม
กิจการรถเมล์ขาวนายเลิศ ที่ดำเนินการมาเป็นเวลา 70 ปี ในขณะนั้นได้รับสัมปทานเดินรถ 36 สาย มีจำนวนรถ 700 คัน และมีพนักงานถึง 3,500 คน จึงเลิกกิจการไปในปี พ.ศ. 2520 โดยอู่รถเมล์ขาวนายเลิศเดิม ได้กลายเป็นสถานที่ตั้งของโรงแรมปาร์คนายเลิศ ณ ถนนวิทยุ ในปัจจุบันนั่นเอง

ดูโทรทัศน์มาก อาจทำให้เสียชีวิตได้ง่าย

ผลวิจัยโดย David Dunstan นักวิจัยชาวออสเตรเลีย จากสถาบัน Baker IDI Heart and Diabetes ในเมลเบิร์น (Melbourne) ที่สำรวจจากชายหญิง ที่มีสุขภาพดีอายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวน 8,800 คน เป็นเวลา 6 ปี
พบว่า 80% ของผู้ที่ดูโทรทัศน์มากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน มีแนวโน้มเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าผู้ที่ดูโทรทัศน์น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และในการดูโทรทัศน์ที่เพิ่มขึ้นทุก 1 ชั่วโมง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 18%
เนื่องจากการทำกิจกรรมที่นั่งเฉยๆ เช่น ดูโทรทัศน์นานๆ ทำให้พวกเราไม่ขยับตัวเป็นเวลานาน ทำให้กระบวนการเผาผลาญในร่างกายช้าลง และส่งผลให้เกิดการเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ
คำแนะนำสำหรับกรณีนี้ คือ หลีกเลี่ยงการการนั่งเป็นเวลานาน เปลี่ยนอิริยาบท ขยับร่างกายในส่วนที่ไม่ค่อยได้ขยับบ้าง หรือในขณะชมโทรทัศน์ควรทำกิจกรรมอื่นที่ได้ขยับตัวบ้าง เช่น พับเสื้อผ้าที่ซักแล้ว หรือเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ด้วยการลุกเดินไปกดเองแทนการใช้รีโมท

งานนั่งโต๊ะ เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก

รายงานผลวิจัยจาก British Journal of Cancer ที่ทำการศึกษากับผู้ชาย 45,000 คน ซึ่งมีอายุ 45-79 ปี พบว่า.. ผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวัน มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะทั้งวันครึ่งวัน 20% และผู้ชายที่ทำงานนั่งโต๊ะนั้น มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มากกว่าผู้ชายที่ไม่ได้ทำงานนั่งโต๊ะถึง 28%
รูปแบบของการออกกำลังกายนั้นก็มีผล โดยผู้ชายที่เดิน หรือปั่นจักรยานน้อยกว่า 40 นาทีต่อวัน มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าผู้ชายที่เดิน หรือปั่นจักรยานน้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวันอยู่ 14%
แต่ไม่แน่นอนเสมอไปที่การออกกำลังจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ เนื่องจากนักวิจัยจากสถาบัน Karolinska ในสวีเดน สันนิษฐานว่าเป็นเพราะระดับฮอร์โมนเพศชายที่หลั่งออกมา งานวิจัยก่อนหน้านี้บางชิ้น ก็พบว่า การทานผักผลไม้นั้น ช่วยลดความเสี่ยงของโรคได้
ดังนั้น การลดความเสี่ยงมะเร็งต่อลูกหมาก ที่ Dr. Helen Rippon จากองค์กรการกุศลเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมากแนะนำ คือ ไม่นั่งทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน
เดิน หรือขี่จักรยาน (ออกกำลังกาย) หรือขยับตัวไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน แต่ไม่จำเป็นต้องเล่นกีฬาอย่างเอาเป็นเอาตายในโรงยิม จะเป็นผลดีต่อร่างกายแน่นอน