วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

 เมื่อวันที่ 16 กันยายน เว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ รายงานว่า พบ หญิงสาววัย 23 ปีป่วยเป็นโรคประหลาด ต้องกินอาหารในทุก ๆ 15 นาที เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด ดังนั้นเฉลี่ยแล้ว เธอจะกินอาหาร 60 ครั้งต่อวัน แต่น้ำหนักเธอจะไม่มีวันมากไปกว่านี้แล้ว มีแต่จะลดลงอย่างรวดเร็วหากไม่กินอาหาร


            โดยเด็กหญิงคนดังกล่าว คือ นางสาวลิซซี่ เวลาสเควซ (Lizzie Velasquez) จากเมืองออสติน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา หญิงสาวผู้มีร่างกายที่ผอมมากจนเนื้อหนังติดกระดูก จนไปที่ไหนก็มีแต่คนกลัวหรือแสดงท่าทีรังเกียจเธอ โดยลิซซี่เล่าว่า ในตอนแรก ตนโดนเพื่อน ๆ ล้อจนตนเองก็รับไม่ได้ ตนหงุดหงิดมากที่หลายคนนินทาว่า ตนเป็นโรคอดอาหารเพราะอยากผอม แต่ความจริงมันไม่ใช่เลย ตนต้องทนทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เป็นอยู่แค่ไหน ไม่มีใครรู้ แต่ที่สุดแล้วตนก็เลือกที่จะเรียนรู้และยอมรับกับอาการที่เป็นอยู่ และปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข



            "ตน ต้องกินอาหารหรือขนมต่าง ๆ ทุก ๆ 15 นาที ดังนั้นใน 1 วัน ตนจะต้องกินอาหารประมาณ 60 มื้อและต้องมีอาหารหรือขนมติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา ส่วนใหญ่ของที่กินก็มีหลากหลายประเภท ลูกอม ช็อกโกแลต พิซซ่า ไก่ โดนัท ไอศครีม แต่ถึงแม้ว่า อาหารที่กินเข้าไปจะมากมายเพียงใด หรือจะมีแคลลอรี่สูงถึง 5,000-8,000 แคลลอรี่่ต่อวันสูงเท่าใด แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ตนมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแล้ว มันมีแต่จะลดลงถ้าตนไม่กินอาหาร หากน้ำหนักเพิ่มขึ้นซักปอนด์ ตนก็ดีใจมากแล้ว" ลิซซี่เล่าด้วยสีหน้าเศร้า
ทั้ง นี้ ลิซซี่เป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดถึง 4 อาทิตย์ โดยมีน้ำหนักเพียง 2 ปอนด์ โดยแม่ของลิซซี่บอกว่า ตั้งแต่เด็ก ลิซซี่ถูกส่งไปโรงพยาบาล แต่แพทย์ไม่สามารถระบุอาการของเธอได้ ขณะที่เคสของเธอกลายเป็นที่สนใจของแพทย์ทั่วโลก และเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาด้านพันธุกรรมการเติบโตของร่างกายที่ผิดปกติ โดยแพทย์บางรายบอกว่า ลิซซี่ อาจมีอาการ Neonatal Progeroid Syndrome ที่ทำให้เกิดอาการร่างกายแก่ตัวไว สูญเสียไขมันจากใบหน้าและร่างกาย และเนื้อเยื่อเสื่อมสภาพ ซึ่งมีผู้คนจำนวนไม่มากนักที่ป่วยมีอาการเช่นนี้ และแต่ละรายก็จะมีอาการแตกต่างกันออกไป

แคลเซียม ในร่างกายเกือบทั้งหมดจะสะสมในกระดูกและฟัน ซึ่งไปช่วยทำให้เกิดความแข็งแรง อีกทั้งจะมีปริมาณ แคลเซียม จำนวนน้อยๆ ที่อยู่ในกระแสเลือดที่จะมีส่วนช่วยในการสร้างฮอร์โมนและเอนไซม์ต่างๆ เพื่อให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ เช่น

► แคลเซียม ทำหน้าที่เป็นตัวนำสัญญาณระหว่างเซลประสาทให้สื่อสารกันได้เป็นปกติ

► แคลเซียม ช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวได้เป็นปกติ ที่สำคัญคือกล้ามเนื้อหัวใจ

► แคลเซียม ช่วยในขบวนการทำให้เลือดแข็งตัว

► แคลเซียม ช่วยในขบวนการสร้างภูมิคุ้มกันโรค

ดังนั้นหน้าที่ๆ สำคัญเหล่านี้ทำให้ร่างกายขาด แคลเซียม ไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดก็จะไปดึงมาจากกระดูกแทน ส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่รับประทาน แคลเซียม น้อยกว่าครึ่งของที่ควรจะได้รับต่อวัน ทำให้กระดูกก็จะบางลง และไม่แข็งลงเรื่อยๆ และเรามักจะทราบว่าเราเป็นโรค กระดูกพรุน ก็ต่อเมื่อเกิดอาการกระดูกหักง่ายแม้กระทบเพียงเล็กน้อย

โดยส่วนใหญ่จะแนะนำให้รับประทานแคลเซียมร่วมกับ แมกนีเซียม และ วิตามินดี ซึ่งที่จริงแล้วร่างกายเราจะได้รับ วิตามินดี จากแสงแดดธรรมชาติอยู่แล้ว และยังพบในอาหารต่างๆ อีก วิตามินดีจะช่วยให้ แคลเซียม ถูกดูดซึมได้เป็นปกติ ส่วน แมกนีเซียม ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญของร่างกายและอาจจถูกยับยั้งการดูดซึมจาก แคลเซียม ได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้รับประทาน แคลเซียม คู่กับ แมกนีเซียม ไปด้วยกัน

ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับต่อวัน


► เด็ก (1-10 ปี) ควรได้รับ 800 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

► วัยรุ่น (11-25 ปี) ควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

► ผู้ใหญ่ ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน

► หญิงมีครรภ์ ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน

► หญิงให้นมบุตร ควรได้รับ 1,500 – 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน

► ผู้ป่วยกระดูกหัก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
มาดูวิธีการทักทายของแต่ละประเทศกัน

อิตาลี กอดพร้อมตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ 

เซเนกัล ชนเผ่าโวลอฟ ค้อมตัวลงแล้วนำหลังมือของผู้อาวุโสมาแตะหน้าผากตัวเอง 

แทนซาเนีย ห้ามมองหน้าอีกฝ่ายและต้องคุกเข่าลงพร้อมตบมือขณะทักทายผู้อาวุโส 

เคนยา บ้วนน้ำลายตัวเองบนฝ่ามือของอีกฝ่าย เพื่ออวยพรให้โชคดี 

อินเดีย พนมมือและโค้งตัวเล็กน้อยเวลาทักทายผู้อาวุโสหรือแขก 

นิวซีแลนด์ ชนเผ่าเมารี เอาจมูกแตะกันและครึงเล็กน้อย 

ทิเบต ดึงหูทั้งสองข้างของตัวเองไว้พร้อมแลบลิ้น 

อาร์เจนตินา หอมแก้มกันและทำเสียง"จุ๊บ"เวลาทักทาย 

บราซิล ชนพื้อเมืองในบราซิลจะใช้ใบหน้าและส่วนอกสัมผัสกันพร้อมหอมแก้ม 

สหรัฐอเมริกา หอมแก้มกันเมื่อทักทายเพื่อนหรือคนในครอบครัว 

อะแลสกา ชนเผ่าเอศกิโมเอาจมูกแตะกันและคลึงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพและการต้อนรับ 

เกาหลี ผู้อ่อนวัยจะคุกเข่าและก้มศีรษะคำนับผู้อาวุโส 

อินเดียเหนือ ชาวลาดัก ทักทายโดยยกมือขวาขึ้น 

อิรัก  ทักทายหญิงสาวที่ใส่ผ้าคลุมหน้าโดยใช่ฝ่ามือทาบที่หน้าอกตัวเอง   สำหรับหญิงสาวที่ไม่ใส่ผ้าคลุมหน้าใช่การจับมือ 
วิธีทักทายที่นิยมใช้มากที่สุดก็คือการจับมือ


ฝรั่งเศส จะพูดว่า "บงชูร์" แนบแก้มกับแก้มของอีกฝ่ายและทำเสียงจุ๊บ 

อินเดียเหนือ จะพูดว่า "ชู-เลย" ชาวลาดักไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะยกมือขวาขึ้นสูง 

อินเดีย จะพูดว่า"นะมัสเต" พนมมือสองข้างและโค้งตัวเล็กน้อย 

ชนเผ่าฮาวาย จะพูดว่า "อะโลฮา" ชูนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อยส่ายไปมาในการทักทายเพื่อน 

สหรัฐอเมริกา จะพูดว่า"ไฮ" ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนใช่การจับมือ 

ชนเผ่าเอสกิโม จะพูดว่า"อัลละคุต" เอาจมูกแตะกันและคลึงเล็กน้อย 

จีน จะพูดว่า"หนีห่าวมา" จับมือพร้อมส่งเสียงทักทาย