วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Boeuf Bourguignon

Recette de cuisine : « boeuf bourguignon »
Un grand classique de la cuisine française !
Cuisine Recipe: « Boeuf Bourguignon »
A major French classic cuisine!

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"มาลาลา ยูซาฟไซ" เด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้หาญสู้เพื่อเด็กๆ และสันติภาพ

การเดินทางของ "มาลาลา ยูซาฟไซ" จากเด็กนักเรียนหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งในปากีสถาน สู่การเป็นผู้คว้ารางวัลโนเบล สาขาสันติภาพด้วยอายุน้อยที่สุด เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน จากการที่เธอเกือบต้องเสียชีวิตไปเพราะการออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของเด็กผู้หญิงในบ้านเกิด 
malala
          ในปี 2555 ยูซาฟไซซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 15 ปี อยู่ระหว่างการเดินทางกลับบ้านในมิงโกรา เขตสวาท วัลเลย์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปากีสถาน แต่รถโรงเรียนของเธอถูกสกัดโดยกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน และเธอถูกยิงเข้าที่ศีรษะ อาการเป็นตายเท่ากัน
          การโจมตีในครั้งนั้นเกิดขึ้นเพื่อเป็นการลงโทษเธอที่ออกมารณรงค์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ขวบ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้เด็กผู้หญิงได้ไปโรงเรียน ทั้งผ่านบล็อกส่วนตัวและทางสื่อต่างๆ เพื่อคัดค้านการห้ามผู้หญิงได้รับการศึกษา และมีการลอบวางระเบิดโรงเรียนของกลุ่มติดอาวุธ
          ยูซาฟไซที่ปัจจุบันอายุ 17 ปี และ "ไซอุดดิน" บิดาของเธอที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน และนักเคลื่อนไหวเพื่อการศึกษา กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในปากีสถานจากการออกมารณรงค์ในเรื่องนี้  และไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ แม้จะได้รับคำขู่จากลุ่มตาลีบันหลายครั้ง
          หลังจากที่โดนยิง ยูซาฟไซเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลท้องถิ่น ก่อนที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะจัดหาเครื่องบินพยาบาลนำตัวเธอไปรักษาต่อในอังกฤษ ซึ่งแพทย์ได้ใช้แผ่นไททาเนียมซ่อมแซมกะโหลกศีรษะ และเธอต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูความสามารถในการได้ยิน
          เมื่อรักษาตัวจนอาการดีขึ้นอย่างน่าพอใจ ครอบครัวยูซาฟไซ ที่รวมถึงบิดา มารดา และน้องชายของเธออีก 2 คนต้องมาเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเองในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เพราะไม่สามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้ จากการที่ยังถูกกลุ่มตาลีบันข่มขู่เอาชีวิตอย่างต่อเนื่อง
          การรอดชีวิตมาได้อย่างที่เรียกได้ว่าเหมือนปาฏิหาริย์นั้น ยังทำให้สาวน้อยรายนี้ผงาดขึ้นมาจากการเป็นเหยื่อของความพยายามฆาตกรรม สู่การเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกในด้านการประท้วงอย่างสันติ และการต่อสู้เพื่อให้เด็กๆ ทุกคนได้ไปโรงเรียน

          สาวน้อยที่บางคนเรียกขานว่าเป็น "เด็กผู้หญิงที่กล้าหาญที่สุดในโลก" รายนี้ บอกว่า เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างกับโชคชะตาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่เธอยังยึดมั่นกับการต่อสู้ของเธออยู่

          "พวกคุณล้วนช่วยให้โลกตระหนักถึงเป้าหมายของหนู ตระหนักถึงสิ่งที่หนูทุ่มเททำลงไป ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับตัวหนูมากไปกว่าเรื่องที่เด็กทุกคนจะได้รับสิทธิในการเรียนหนังสือ" ถ้อยแถลงที่ยูซาฟไซเคยพูดไว้ขณะขึ้นรับรางวัลรางวัลหนึ่ง
          ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ยูซาฟไซได้รับรางวัลมากมาย มีรูปของเธอแขวนอยู่ในแกลลอรีแสดงภาพเหมือนแห่งชาติของอังกฤษ และในวันเกิดปีที่ 16 ของเธอเมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว เธอก็ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เธอระบุว่า "ครู 1 คน หนังสือ 1 เล่ม ปากกา 1 ด้าม สามารถเปลี่ยนโลกได้"
          เมื่อปีที่แล้ว เธอยังได้ตีพิมพ์หนังสือบันทึกความทรงจำ "ฉันคือมาลาลา เด็กหญิงที่ยืนหยัดเพื่อการศึกษา และถูกตาลีบันยิง" บอกเล่าเรื่องราวอันน่าหวาดกลัวของการโดนทำร้ายในวันที่ 9 ต.ค.2555
          ในหนังสือเล่มนี้ เธอยังได้อธิบายชีวิตของตัวเองสมัยที่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบอันโหดร้ายของกลุ่มตาลีบันในเขตสวาท วัลเลย์ ช่วงกลางทศวรรษ 2000 พูดคุยถึงเรื่องความฝันที่จะลงเล่นการเมือง และบอกเล่าเกี่ยวกับอาการคิดถึงบ้าน และการที่ต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ในอังกฤษ
          ยูซาฟไซเล่าเกี่ยวกับตัวเธอเองว่า ค่อนข้างเป็นเด็กนักเรียนที่กระตือรือร้น อยากสอบได้เป็นที่ 1 ของชั้น แต่ขณะเดียวกันเธอก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไปที่เป็นแฟนเพลงของนักร้องเพลงป๊อปชื่อดังอย่าง จัสติน บีเบอร์ และชอบอ่านนิยายแวมไพร์โรแมนติกอย่าง "ทไวไลท์"
          อย่างไรก็ดี การที่เธอต้องผ่านอะไรมามากมาย ทำให้เธอดูเป็นคนแปลกๆ ในสายตาของเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอพูดคุยเกี่ยวกับเรื่้องภัยคุกคามจากตาลีบัน
          โลกตะวันตกต่างพากันชื่นชม ยูซาฟไซ ในความกล้าหาญของเธอ โดยคนดังที่เป็นแฟนคลับของเธอรวมถึง แองเจลินา โจลี ดาราสาวชื่อดังแห่งฮอลลีวูด ผู้บริจาคเงินให้กับ "กองทุนมาลาลา" ที่เธอและครอบครัวก่อตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนด้านการศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิงในปากีสถานและทั่วโลกด้วย 
          อย่างไรก็ดี เธอยอมรับว่าเธอไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบมากเท่าใดนักในบ้านเกิดของเธอที่ปากีสถาน เพราะเพื่อนร่วมชาติของเธอบางส่วนมองว่าเธอเป็นลูกน้องของชาติตะวันตก เธอยังปฏิเสธอย่างหนักแน่นถึงเสียงวิจารณ์บางกระแสที่บอกว่า บิดาเป็นผู้ผลักดันให้เธอออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องการศึกษา
          ยูซาฟไฟ บอกว่า ผู้คนในปากีสถานต่างไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่เธออยากให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการให้ใครมาสนับสนุนเธอ แต่ต้องการให้สนับสนุนเป้าหมายของเธอในเรื่องสันติภาพและการศึกษา
          "หนูคือมาลาลา แม้โลกของหนูจะเปลี่ยนไป แต่ตัวตนของหนูก็ยังเหมือนเดิม"
nobel
"ยูซาฟไซ-สัตยาธี"ร่วมคว้าโนเบลสันติภาพ
          คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในนอร์เวย์ ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ต.ค.57 มอบรางวัลให้กับ นางสาวมาลาลา ยูซาฟไซ เด็กหญิงชาวปากีสถานที่รณรงค์ด้านการศึกษาของเด็ก และ นายไกลาศ สัตยาธี นักเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้แรงงานเด็กในอินเดีย สำหรับความทุ่มเทในการต่อสู้เพื่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กทุกคน และการหยุดยั้งการกดขี่ข่มเหงเด็กๆ
          คณะกรรมการยังย้ำให้เห็นถึงความสำคัญที่ชาวมุสลิม-ฮินดู และชาวปากีสถาน-อินเดีย จะร่วมมือกันในการรณรงค์เพื่อการศึกษาและการต่อสู้กับกลุ่มลัทธิสุดโต่ง
          นางสาวยูซาฟไซ ถูกกลุ่มตาลีบันที่ห้ามเด็กหญิงเรียนหนังสือ ดักยิงที่ศีรษะในปี 2555 แต่รอดชีวิตอย่างหวุดหิด และมุ่งมั่นรณรงค์ในเวทีโลกเพื่อส่งเสริมให้เด็กผู้หญิงมีโอกาสด้านการศึกษา โดยการที่เธอเพิ่งมีอายุเพียง 17 ปีในขณะนี้ ทำให้เธอกลายเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่อายุน้อยที่สุดด้วย 
          นายธอร์บเยิร์น ยัคแลนด์ ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัล ระบุว่า แม้ยังเป็นเยาวชน แต่ นางสาวยูซาฟไซ แสดงให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนสามารถมีส่วนพัฒนาชีวิตของตัวเองได้ และเธอทำภายใต้สถานการณ์เสี่ยงอันตรายที่สุด 
          สำหรับนายสัตยาธีนั้น นายยัคแลนด์ บอกว่า นักเคลื่อนไหวรายนี้เป็นผู้นำแถวหน้าในการต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก โดยจัดการประท้วงทั้งในอินเดียและส่วนอื่นๆ ของโลก
          ปีนี้มีรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลที่เป็นบุคคล 231 คน และองค์กร 47 แห่ง และเป็นอีกปีหนึ่งที่ไม่มีใครเป็นตัวเก็งโดดเด่นที่จะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน โดยรายชื่อตัวเก็งมีอยู่หลากหลายกลุ่ม ไล่ตั้งแต่ สมเด็จพระสันตปาปา ฟรานซิส ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีที่แล้ว และบริษัทรับพนันรายใหญ่หลายแห่งยกให้เขาเป็นตัวเก็งอันดับหนึ่ง ไปจนถึง นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตลูกจ้างสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ ผู้เปิดโปงความลับของโครงการสอดแนมของรัฐบาลอเมริกันที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากร และคนทรยศขายชาติ
          นอกจากนี้ ยังมีหนังสือพิมพ์รายวัน โนวาย่า กาเซต้า ของรัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนอิสระไม่กี่แห่งในรัสเซีย และนักข่าวของหนังสือพิมพ์แห่งนี้ถูกฆาตกรรมหลายคนแล้ว รวมถึง นางอันนา โปลิตคอฟสกาย่า ที่ตีแผ่เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเชชเนีย หนังสือพิมพ์แห่งนี้มี นายมิคาอิล กอร์บอชอฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตและอดีตเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเป็นผู้ร่วมก่อตั้งในปี 2536
          สหภาพแรงงานยูจีทีที ของตูนิเซีย เป็นอีกหนึ่งผู้เข้าชิงรางวัลที่ได้รับความสนใจจากหลายฝ่าย โดยสหภาพแรงงานแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย หลังการประท้วงโค่นล้มผู้นำเผด็จการได้สำเร็จ จากการมีส่วนร่วมไกล่เกลี่ยในการเจรจาทางการเมืองที่นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ ประธานาธิบดีมอนเซฟ มาร์ซูกี ของตูนิเซีย ที่ได้รับเลือกตั้งหลังผู้นำเผด็จการ ซีน เอล อาบิดีน พ้นจากอำนาจในปี 2554 ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลด้วย
          เมื่อปีที่แล้วคณะกรรมการโนเบลมอบรางวัลให้กับ องค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี หรือ โอพีซีดับเบิลยู ที่มีบทบาทสำคัญในการกำจัดอาวุธ รวมถึงการดำเนินการกำจัดอาวุุธเคมีในซีเรียในขณะนี้
          พิธีมอบรางวัลจะจัดที่กรุงออสโลของนอร์เวย ในวันที่ 10 ธ.ค. ซึ่งตรงกับวันเสียชีวิตของ นายอัลเฟรด โนเบล วิศวกรชาวสวีเดน ผู้คิดค้นระเบิดไดนาไมต์ และผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบลเพื่อมอบให้กับบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติในสาขาต่างๆ 

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

10 อันดับแอร์โฮสเตสสวยที่สุดในโลก

JetRadar เว็บไซต์เปรียบเทียบและค้นหาตั๋วเครื่องบิน เผย 10 อันดับแอร์โฮสเตสที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในโลก โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ www.wonderslist.com/10-attractive-airlines-stewardess โดยกล่าวว่า อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแทบทุกสายการบินมักเลือกพนักงานต้อนรับโดยเน้น “หน้าตา” เพราะถือเป็นหน้าตาของสายการบินเช่นกัน สายการบินแต่ละแห่งจึงพิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกรูปร่างหน้าตาของพนักงานต้อนรับ ไปจนถึงการจัดหายูนิฟอร์มให้ดูสวยงาม น่าสนใจ และเป็นจุดขายโฆษณาสายการบินไปในตัว
 
ทั้งนี้ 10 อันดับแอร์โฮสเตสที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในโลก มีดังนี้
 
1. สายการบิน Air France
 
สายการบิน Air France
 
สาวฝรั่งเศสดูหลงใหลน่าค้นหาตามสไตล์ฝรั่งเศส สาวๆ ทุกคนจึงไฮโซดูดี ด้วยความที่เป็นประเทศแห่งแฟชั่น ดังนั้น พนักงานต้อนรับทุกคนเปรียบเสมือนสวมวิญญาณนางแบบ เดินไปมาตามทางเดินบนเครื่องประหนึ่งมาเดินแคทวอล์ค ในชุดที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกอย่าง Christian Lacroix
 
2. สายการบิน Singapore Airlines
 
สายการบิน Singapore Airlines
 
สาวสิงคโปร์ดูมีคลาส แต่ยิ้มเป็นกันเองให้เสมอ ไม่ต้องแต่งหน้าจัดเหมือนสายการบินอื่นๆ แค่มาในชุดประจำชาติ “Sarong Kebaya” ก็ประทับใจผู้โดยสารได้ไม่ยาก ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้โดยสาร นิตยสาร องค์กรในอุตสาหกรรมการบิน ว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านการบริการบนเครื่อง การันตีด้วยรางวัลบริการของลูกเรือที่ดีที่สุดในโลกเป็นเวลา 17 ปีติดต่อกัน
 
3. สายการบิน Aeroflot
 
สายบิน Aeroflot
 
สาวรัสเซียสวยคม หน้าผมเป๊ะทุกคน ได้รับการโหวตเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องยูนิฟอร์มของพนักงานต้อนรับที่ดูดีที่สุดในโลก ด้วยเอกลักษณ์หมวกทรงทหาร กับผ้าพันคอผูกเป็นโบ เก๋ไก๋ดูมีคลาส 
 
4. สายการบิน Kingfisher Airlines
 
สายการบิน Kingfisher Airlines
 
สไตล์การแต่งเสื้อผ้าหน้าผมคล้ายกับแอร์เอเชีย แต่เป็นสไตล์อินเดีย ตาคมแบบภารตะ ที่หนุ่มยุโรปต่างเทโหวตให้ไม่แพ้สาวแอร์เอเชีย ในฐานะแอร์ที่ฮ็อตที่สุดในโลก
 
5. สายการบิน Cathay Pacific
 
สายการบิน Cathay Pacific
 
สายการบินชั้นนำของเอเชีย เหมือนกับพนักงานที่บริการเยี่ยม สาวหมวยหน้าตาน่ารักขนาดไปเป็นนางแบบได้สบายๆ 
 
6. สายการบิน Emirates
 
สายการบิน Emirates
 
สาวสวยจากทั่วโลกมาเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินเอมิเรตส์ บริการได้ทุกภาษา สูงสง่า หน้าคม มีคลาส เหมือนกับบริการบนเครื่องที่ติดระดับ 5 ดาว ชุดแอร์รัดกุมราวกับกำลังบินโดยสายการบินของทหาร แต่สายการบินนี้มีรางวัลการันตีถึงคุณภาพมากมาย
 
7. สายการบิน Air Asia
 
สายการบิน Air Asia
 
เป็นสาวๆ สายการบินเดียวในโลกที่ไม่ม้วนเก็บผม มาพร้อมหุ่นนางแบบเอเชียในชุดสีแดง แต่ถ้าไม่สั่งอาหารบนเครื่อง แอร์ก็จะไม่ค่อยได้แวะเวียนมาให้บริการ นอกจากนั้นยังมีตำแหน่งเป็นสายการบิน low-cost ที่ดีที่สุดอีกด้วย 
 
8. สายการบิน Lufthansa
 
 
แอร์สาวสัญชาติเยอรมัน แต่มีหน้าตาหลากหลาย ตั้งแต่สไตล์ตุรกีไปจนถึงเอเชีย แต่น้ำเสียงภาษาด๊อยชท์อาจจะแข็งๆ ไม่ไพเราะชวนฝัน และยังเป็นหนึ่งในสายการบินที่แอร์เป็นมิตรและให้บริการดีที่สุดสายหนึ่งในยุโรป 
 
9. สายการบิน Thai Airways International
 
สายการบิน Thai Airways International
 
ให้บริการทุกระดับประทับใจ เน้นการให้บริการบนเครื่องที่ดีที่สุด แม้จะตัวสูงไม่เท่าแอร์โฮสเตสฝรั่ง แต่ก็ ได้รับรางวัลมากมายจากชุดแอร์ที่คงเอกลักษณ์ความเป็นไทยและสวยงามด้วยผ้าไหม 
 
10. สายการบิน Virgin Atlantic
 
สายการบิน Virgin Atlantic
 
ชุดสีแดงกระชากใจ รัดรูปเห็นสัดส่วน พร้อมผ้าพันคอไหมพรมบางๆ นุ่มๆ แต่ความที่เป็นสาวอังกฤษ หุ่นจึงไม่บางเหมือนสาวเอเชีย ได้รับตำแหน่งแอร์ที่ “น่าหลงใหล” ที่สุดของยุโรปในปี 2011 

แก๊สน้ำตา

แก๊สน้ำตา (อังกฤษLachrymatory agent, Lachrymator หรือ Tear gas) เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาและแก้วตาดำทำให้มีน้ำตาไหลออกมาก เยื่อบุตาจะแดงและแก้วตาดำจะบวม ตามองไม่เห็น น้ำมูกน้ำลายไหล ไอ หายใจลำบาก ส่วนใหญ่จะหายเองภายในหนึ่งชั่วโมง แก๊สน้ำตาถูกใช้เป็นอาวุธประเภทก่อกวนในการปราบจลาจลเพื่อสลายการชุมนุม การใช้งานมีทั้งการยิงจากเครื่องยิงแก๊สน้ำตา และใช้แบบระเบิดขว้าง
ในประเทศไทย แก๊สน้ำตาถูกนำเข้ามาใช้ครั้งแรกในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ไม่นาน โดยกระทรวงมหาดไทย มีการแถลงข่าวสาธิตการใช้ที่สนามเป้า และสามเสน
ทางกรมวิทยาศาสตร์ทหารบกได้ทำวิจัยลูกระเบิดขว้างแก๊สน้ำตา มีระยะเวลาการเกิดควัน 50 วินาที ครอบคลุมพื้นที่ 150 ตารางเมตร

การเป็นพิษ

ถ้ามีการสูดหายใจแก๊สน้ำตาเข้าไป จะทำให้มีการระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก หลอดลมและปอด ทำให้ มีอาการไอและจาม ถ้าเป็นมากอาจถึงหลอดลมอักเสบและปอดอักเสบได้[4] การสัมผัสดวงตาและผิวหนัง มีผลให้เกิดการไหม้และระคายเคืองทันทีตามบริเวณที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตา อาการที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสแก๊สน้ำตา ได้แก่
  • น้ำตาไหล มองเห็นไม่ชัด ตาแดง
  • น้ำมูกไหล จมูกบวมแดง
  • ปากไหม้และระคายเคือง กลืนลำบาก น้ำลายไหลย้อย
  • แน่นหน้าอก ไอ รู้สึกอึดอัด หายใจมีเสียงดัง หายใจถี่
  • ผิวหนังไหม้ เป็นผื่น
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • หากโดนในปริมาณมากๆอาจทำให้ตาบอดสนิทและหูหนวกได้
  • โดยทั่วไปแล้วแก๊สน้ำตาจะไม่มีส่วนผสมของวัตถุระเบิด แต่หากแก๊สน้ำตามีส่วนผสมของวัตถุระเบิด เมื่อยิงเข้าในแนววิถีตรงจะทำให้สูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิตได้
โดยปกติแล้ว หลังจากออกมาจากบริเวณที่มีแก๊สน้ำตาและทำความสะอาดร่างกายแล้ว อาการที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ประมาณ 30-60 นาที เท่านั้น ถ้าสัมผัสแก๊สน้ำตาเป็นเวลานานๆ เช่น มากกว่า 1 ชั่วโมง หรือได้รับสัมผัสปริมาณมากๆ ในพื้นที่อับอากาศ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้ เช่น ตาบอด ต้อหิน ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตเนื่องจากสารเคมีจะไหม้ลำคอและปอด

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Foie gras (ตับห่าน)

ตับห่าน หรือเรียกอีกชื่อว่า"ฟัวกรา"


ฟัวกรา (ฝรั่งเศส: Foie gras [fwɑ gʁɑ]) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา

ฟัวกราส์เป็นอาหารราคาแพง ราคาเริ่มต้นที่ เจ็ดสิบยูโรต่อกิโล ไปเรื่อย ๆ เคยเห็นสูงสุดที่ร้อยห้าสิบยูโร แต่คงมีสูงกว่านี้ แต่ยังแพงน้อยกว่าไข่ปลาคาเวียร์ รสชาติก็คงตามราคา กินตามงานเลี้ยง และร้านอาหารที่มีในเมนูที่สั่งบ้าง แต่บ่อยหรอก โดยฟัวกราส์ ถ้าคุณภาพดี เนื้อตับจะแน่น เนื้อละเอียด นุ่มลิ้นไม่ต้องเคี้ยว ใช้ลิ้นดันให้ละลายในปากได้


การที่จะทำฟัวกราส์สักชิ้นนั้นส่วนใหญ่มักใช้เป็ด Moulard ขุน และเมืองที่ขึ้นชื่อทำตับห่านมากที่สุดคือเมือง Strassburg เนื่องจากเมืองนั้นเป็นผู้ผลิตหลักของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดนี้

ฟัวกราส์เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักกันดีในรสชาติละเอียดอ่อนบวกกับฝีมือการทำอาหารฝรั่งเศสทำให้รสชาติของมันไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูด ทำให้ตับห่านฟัวกราส์ที่ออกมาวางขายแต่ละครั้งมักขายหมดไปอย่างรวดเร็ว

ต้นกำเนิดฟัวกราส์แท้ๆ ไม่ใช้ฝรั่งเศส เพราะจากประวัติศาสตร์โลกพบว่าการเลี้ยงขุนสัตว์ปีกด้วยหลอดอาหารที่มีอายุเก่าแก่พบว่ามันมีมาตั้งแต่ 2500 BC มาแล้ว โดยในประเทศอียิปต์คนโบราณเริ่มขุนนกโดยการสอดหลอดใส่อาหารบังคับให้มันอ้วน โดยหลักฐานอยู่ในในสุสานของ Saqqara ที่Mereruka มีภาพผนังรูปคนกำลังบังคับนกให้กินอาหารทางหลอดอาหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศอียิปต์ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีการรู้จักวิธีนี้มานานจากนั้นักกวีกรีกชื่อ Cratinus ได้เขียนเกี่ยวกับการขุนอาหารนี้เช่นกันโดยเล่าว่าประเทศอียิปต์มีชื่อเสียงและต้นกำเนิดการขุนอ้วน ต่อมา361 BC เมื่อกษัตริย์เมืองสปาตาชื่อ Agesilaus ได้ไปเยี่ยมประเทศอียิปต์ใน และเขาก็สนใจการขุนอาหารแบบนี้เลยเผยแพร่เข้าไปยุโรปในกาลต่อมา และมันก็เผยแพร่ไปทั่วโลก เช่น สหรัฐ และจีนในที่สุด

อย่างไรก็ตามฟัวกราส์ในแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน การขุนอาหารก็ต่างกันด้วยเช่นใช้ลูกพิชในการขุน ใช้อาหารหมาในการขุน หรือพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งอาหารที่แต่ชนิดทำให้สัตว์ที่กินมีการขยายของตับต่างกัน


ทุกวันนี้ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตฟัวกราส์มากที่สุด และผู้บริโภคฟัวกราส์มากที่สุดด้วย นอกกจากนี้ยังมีประชาชาติชาวยุโรปอื่น สหรัฐ และจีนซึ่งเป็นผู้ผลิต-บริโภคฟัวกราสต์เป็นอันดับต้นๆ ของจากสถิตทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราส์ประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราส์จากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราส์ใน พ.ศ.2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

La petit prince






เจ้าชายน้อย (ฝรั่งเศสLe Petit Prince) เป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1943 อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรีเขียนงานเขียนชิ้นนี้ขณะพำนักอยู่ที่นิวยอร์ก เจ้าชายน้อยถือได้ว่าเป็นหนังสือขายดีติดอันดับโลก นวนิยายชุดนี้ได้รับการจัดแปลกว่า 190 ภาษาและมียอดจำหน่ายกว่า 80 ล้านเล่มทั่วโลก[1][2] ในหลายประเทศได้มีการนำเอาเนื้อเรื่องจากหนังสือไปสร้างเป็นการ์ตูนภาพยนตร์ ละครเวที อุปรากร และการแสดงรูปแบบอื่น ๆ

เนื้อเรื่องย่อ[แก้]

เจ้าชายน้อยได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาถึงคุณค่าของมนุษย์โดยได้พบกับผู้คนมากหน้าหลากหลาย และเห็นพฤติกรรมที่ไร้คุณค่าอย่างแท้จริง จนกระทั่งมาพบกับคนจุดแสงตะเกียงที่ทำคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์นี้เองที่ทำให้เจ้าชายน้อยเกิดความประทับใจ

รูปแบบวรรณกรรม[แก้]

แรกเริ่มเดิมที แซ็งแตกซูว์เปรี ผู้ประพันธ์ มีจุดประสงค์เขียนเพื่อเสียดสีสังคมเท่านั้น ทว่าเนื้อหาที่มีแง่คิดดี ๆ เหล่านี้ได้ถูกนักวิจัยจัดให้งานเขียนชิ้นนี้อยู่ในกลุ่มของวรรณกรรมเยาวชนแทนในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีข้อคิดสอดแทรกดี ๆ ที่คล้ายคลึงกับหลักพุทธธรรมด้วยเช่นกัน เช่น หลักอนิจจัง

La madeleine ,une paroisse atypique











« La Madeleine » s’impose dans le paysage parisien. Tout à la fois un quartier et une église. Au-delà de cette évidence, les subtilités apparaissent. Il y a en fait trois quartiers comme le rappelait avec justesse un magasin bien connu. Le plus ancien, autour de la rue Saint-Honoré. De l’autre côté de la rue Royale, le Faubourg du même nom. Et enfin le quartier transformé sous Haussmann entre les grands magasins et l’Opéra.
L’église : tout le monde la repère extérieurement mais tous n’y sont pas rentrés, peut-être rebutés par le caractère monumental de l’édifice. Son aspect massif et païen a été décrié dès les origines « Tome 2 de la Bourse, la bas de laine » disait Victor Hugo. La somptuosité de ses décors scandalisait Montalembert : « Le pauvre ne peut se sentir chez lui » Là aussi notre regard doit s’aiguiser. Que portent ces robustes colonnes si ce n’est un fronton qui met en exergue la fragilité humaine :

Marie-Madeleine, la pécheresse repentante de l’Evangile. 

Aujourd’hui, les bureaux ont pris le pas sur les habitations au risque d’effacer ces nuances. La majorité des personnes que l’on croise dans les rues ne résident pas sur place.
Pour répondre à cette évolution, la paroisse de la Madeleine est animée du désir d’être une présence bien visible au cœur de Paris et d’être à l’écoute de nos contemporains. On parle du socle pour qualifier les massifs de pierres qui forment l’assise de l’église. Mais ce socle est fait aussi de pierres vivantes que sont les associations attentives aux blessés de la vie comme Ozanam-MadeleineCyber-espace ou Accueil-EmploiLe Foyer de la Madeleine sert plus de trois cents déjeuners par jour à ceux qui travaillent ou passent dans le quartier ainsi qu’à des personnes défavorisées.

L’église, ouverte tous les jours, permet à près de sept cent mille visiteurs annuels de découvrir les richesses artistiques qu’elle renferme et de prendre un temps de prière ou de recueillement. La qualité musicale des liturgies et les nombreuses manifestations musicales proposées répondent à l’aspiration spirituelle de beaucoup de personnes. La présence d’un prêtre à l’accueil et aussi la journée du pardon avant Pâques offrent à des chrétiens d’ici ou d’ailleurs de réaliser, à la suite de Marie-Madeleine qu’ils sont aimés de Dieu.