วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

10 อันดับแอร์โฮสเตสสวยที่สุดในโลก

JetRadar เว็บไซต์เปรียบเทียบและค้นหาตั๋วเครื่องบิน เผย 10 อันดับแอร์โฮสเตสที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในโลก โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ www.wonderslist.com/10-attractive-airlines-stewardess โดยกล่าวว่า อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแทบทุกสายการบินมักเลือกพนักงานต้อนรับโดยเน้น “หน้าตา” เพราะถือเป็นหน้าตาของสายการบินเช่นกัน สายการบินแต่ละแห่งจึงพิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกรูปร่างหน้าตาของพนักงานต้อนรับ ไปจนถึงการจัดหายูนิฟอร์มให้ดูสวยงาม น่าสนใจ และเป็นจุดขายโฆษณาสายการบินไปในตัว
 
ทั้งนี้ 10 อันดับแอร์โฮสเตสที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในโลก มีดังนี้
 
1. สายการบิน Air France
 
สายการบิน Air France
 
สาวฝรั่งเศสดูหลงใหลน่าค้นหาตามสไตล์ฝรั่งเศส สาวๆ ทุกคนจึงไฮโซดูดี ด้วยความที่เป็นประเทศแห่งแฟชั่น ดังนั้น พนักงานต้อนรับทุกคนเปรียบเสมือนสวมวิญญาณนางแบบ เดินไปมาตามทางเดินบนเครื่องประหนึ่งมาเดินแคทวอล์ค ในชุดที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกอย่าง Christian Lacroix
 
2. สายการบิน Singapore Airlines
 
สายการบิน Singapore Airlines
 
สาวสิงคโปร์ดูมีคลาส แต่ยิ้มเป็นกันเองให้เสมอ ไม่ต้องแต่งหน้าจัดเหมือนสายการบินอื่นๆ แค่มาในชุดประจำชาติ “Sarong Kebaya” ก็ประทับใจผู้โดยสารได้ไม่ยาก ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้โดยสาร นิตยสาร องค์กรในอุตสาหกรรมการบิน ว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านการบริการบนเครื่อง การันตีด้วยรางวัลบริการของลูกเรือที่ดีที่สุดในโลกเป็นเวลา 17 ปีติดต่อกัน
 
3. สายการบิน Aeroflot
 
สายบิน Aeroflot
 
สาวรัสเซียสวยคม หน้าผมเป๊ะทุกคน ได้รับการโหวตเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องยูนิฟอร์มของพนักงานต้อนรับที่ดูดีที่สุดในโลก ด้วยเอกลักษณ์หมวกทรงทหาร กับผ้าพันคอผูกเป็นโบ เก๋ไก๋ดูมีคลาส 
 
4. สายการบิน Kingfisher Airlines
 
สายการบิน Kingfisher Airlines
 
สไตล์การแต่งเสื้อผ้าหน้าผมคล้ายกับแอร์เอเชีย แต่เป็นสไตล์อินเดีย ตาคมแบบภารตะ ที่หนุ่มยุโรปต่างเทโหวตให้ไม่แพ้สาวแอร์เอเชีย ในฐานะแอร์ที่ฮ็อตที่สุดในโลก
 
5. สายการบิน Cathay Pacific
 
สายการบิน Cathay Pacific
 
สายการบินชั้นนำของเอเชีย เหมือนกับพนักงานที่บริการเยี่ยม สาวหมวยหน้าตาน่ารักขนาดไปเป็นนางแบบได้สบายๆ 
 
6. สายการบิน Emirates
 
สายการบิน Emirates
 
สาวสวยจากทั่วโลกมาเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินเอมิเรตส์ บริการได้ทุกภาษา สูงสง่า หน้าคม มีคลาส เหมือนกับบริการบนเครื่องที่ติดระดับ 5 ดาว ชุดแอร์รัดกุมราวกับกำลังบินโดยสายการบินของทหาร แต่สายการบินนี้มีรางวัลการันตีถึงคุณภาพมากมาย
 
7. สายการบิน Air Asia
 
สายการบิน Air Asia
 
เป็นสาวๆ สายการบินเดียวในโลกที่ไม่ม้วนเก็บผม มาพร้อมหุ่นนางแบบเอเชียในชุดสีแดง แต่ถ้าไม่สั่งอาหารบนเครื่อง แอร์ก็จะไม่ค่อยได้แวะเวียนมาให้บริการ นอกจากนั้นยังมีตำแหน่งเป็นสายการบิน low-cost ที่ดีที่สุดอีกด้วย 
 
8. สายการบิน Lufthansa
 
 
แอร์สาวสัญชาติเยอรมัน แต่มีหน้าตาหลากหลาย ตั้งแต่สไตล์ตุรกีไปจนถึงเอเชีย แต่น้ำเสียงภาษาด๊อยชท์อาจจะแข็งๆ ไม่ไพเราะชวนฝัน และยังเป็นหนึ่งในสายการบินที่แอร์เป็นมิตรและให้บริการดีที่สุดสายหนึ่งในยุโรป 
 
9. สายการบิน Thai Airways International
 
สายการบิน Thai Airways International
 
ให้บริการทุกระดับประทับใจ เน้นการให้บริการบนเครื่องที่ดีที่สุด แม้จะตัวสูงไม่เท่าแอร์โฮสเตสฝรั่ง แต่ก็ ได้รับรางวัลมากมายจากชุดแอร์ที่คงเอกลักษณ์ความเป็นไทยและสวยงามด้วยผ้าไหม 
 
10. สายการบิน Virgin Atlantic
 
สายการบิน Virgin Atlantic
 
ชุดสีแดงกระชากใจ รัดรูปเห็นสัดส่วน พร้อมผ้าพันคอไหมพรมบางๆ นุ่มๆ แต่ความที่เป็นสาวอังกฤษ หุ่นจึงไม่บางเหมือนสาวเอเชีย ได้รับตำแหน่งแอร์ที่ “น่าหลงใหล” ที่สุดของยุโรปในปี 2011 

แก๊สน้ำตา

แก๊สน้ำตา (อังกฤษLachrymatory agent, Lachrymator หรือ Tear gas) เป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตาและแก้วตาดำทำให้มีน้ำตาไหลออกมาก เยื่อบุตาจะแดงและแก้วตาดำจะบวม ตามองไม่เห็น น้ำมูกน้ำลายไหล ไอ หายใจลำบาก ส่วนใหญ่จะหายเองภายในหนึ่งชั่วโมง แก๊สน้ำตาถูกใช้เป็นอาวุธประเภทก่อกวนในการปราบจลาจลเพื่อสลายการชุมนุม การใช้งานมีทั้งการยิงจากเครื่องยิงแก๊สน้ำตา และใช้แบบระเบิดขว้าง
ในประเทศไทย แก๊สน้ำตาถูกนำเข้ามาใช้ครั้งแรกในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ไม่นาน โดยกระทรวงมหาดไทย มีการแถลงข่าวสาธิตการใช้ที่สนามเป้า และสามเสน
ทางกรมวิทยาศาสตร์ทหารบกได้ทำวิจัยลูกระเบิดขว้างแก๊สน้ำตา มีระยะเวลาการเกิดควัน 50 วินาที ครอบคลุมพื้นที่ 150 ตารางเมตร

การเป็นพิษ

ถ้ามีการสูดหายใจแก๊สน้ำตาเข้าไป จะทำให้มีการระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก หลอดลมและปอด ทำให้ มีอาการไอและจาม ถ้าเป็นมากอาจถึงหลอดลมอักเสบและปอดอักเสบได้[4] การสัมผัสดวงตาและผิวหนัง มีผลให้เกิดการไหม้และระคายเคืองทันทีตามบริเวณที่สัมผัสกับแก๊สน้ำตา อาการที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสัมผัสแก๊สน้ำตา ได้แก่
  • น้ำตาไหล มองเห็นไม่ชัด ตาแดง
  • น้ำมูกไหล จมูกบวมแดง
  • ปากไหม้และระคายเคือง กลืนลำบาก น้ำลายไหลย้อย
  • แน่นหน้าอก ไอ รู้สึกอึดอัด หายใจมีเสียงดัง หายใจถี่
  • ผิวหนังไหม้ เป็นผื่น
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • หากโดนในปริมาณมากๆอาจทำให้ตาบอดสนิทและหูหนวกได้
  • โดยทั่วไปแล้วแก๊สน้ำตาจะไม่มีส่วนผสมของวัตถุระเบิด แต่หากแก๊สน้ำตามีส่วนผสมของวัตถุระเบิด เมื่อยิงเข้าในแนววิถีตรงจะทำให้สูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิตได้
โดยปกติแล้ว หลังจากออกมาจากบริเวณที่มีแก๊สน้ำตาและทำความสะอาดร่างกายแล้ว อาการที่เกิดขึ้นจะคงอยู่ประมาณ 30-60 นาที เท่านั้น ถ้าสัมผัสแก๊สน้ำตาเป็นเวลานานๆ เช่น มากกว่า 1 ชั่วโมง หรือได้รับสัมผัสปริมาณมากๆ ในพื้นที่อับอากาศ อาจส่งผลกระทบร้ายแรงได้ เช่น ตาบอด ต้อหิน ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตเนื่องจากสารเคมีจะไหม้ลำคอและปอด

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Foie gras (ตับห่าน)

ตับห่าน หรือเรียกอีกชื่อว่า"ฟัวกรา"


ฟัวกรา (ฝรั่งเศส: Foie gras [fwɑ gʁɑ]) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา

ฟัวกราส์เป็นอาหารราคาแพง ราคาเริ่มต้นที่ เจ็ดสิบยูโรต่อกิโล ไปเรื่อย ๆ เคยเห็นสูงสุดที่ร้อยห้าสิบยูโร แต่คงมีสูงกว่านี้ แต่ยังแพงน้อยกว่าไข่ปลาคาเวียร์ รสชาติก็คงตามราคา กินตามงานเลี้ยง และร้านอาหารที่มีในเมนูที่สั่งบ้าง แต่บ่อยหรอก โดยฟัวกราส์ ถ้าคุณภาพดี เนื้อตับจะแน่น เนื้อละเอียด นุ่มลิ้นไม่ต้องเคี้ยว ใช้ลิ้นดันให้ละลายในปากได้


การที่จะทำฟัวกราส์สักชิ้นนั้นส่วนใหญ่มักใช้เป็ด Moulard ขุน และเมืองที่ขึ้นชื่อทำตับห่านมากที่สุดคือเมือง Strassburg เนื่องจากเมืองนั้นเป็นผู้ผลิตหลักของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดนี้

ฟัวกราส์เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักกันดีในรสชาติละเอียดอ่อนบวกกับฝีมือการทำอาหารฝรั่งเศสทำให้รสชาติของมันไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูด ทำให้ตับห่านฟัวกราส์ที่ออกมาวางขายแต่ละครั้งมักขายหมดไปอย่างรวดเร็ว

ต้นกำเนิดฟัวกราส์แท้ๆ ไม่ใช้ฝรั่งเศส เพราะจากประวัติศาสตร์โลกพบว่าการเลี้ยงขุนสัตว์ปีกด้วยหลอดอาหารที่มีอายุเก่าแก่พบว่ามันมีมาตั้งแต่ 2500 BC มาแล้ว โดยในประเทศอียิปต์คนโบราณเริ่มขุนนกโดยการสอดหลอดใส่อาหารบังคับให้มันอ้วน โดยหลักฐานอยู่ในในสุสานของ Saqqara ที่Mereruka มีภาพผนังรูปคนกำลังบังคับนกให้กินอาหารทางหลอดอาหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศอียิปต์ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีการรู้จักวิธีนี้มานานจากนั้นักกวีกรีกชื่อ Cratinus ได้เขียนเกี่ยวกับการขุนอาหารนี้เช่นกันโดยเล่าว่าประเทศอียิปต์มีชื่อเสียงและต้นกำเนิดการขุนอ้วน ต่อมา361 BC เมื่อกษัตริย์เมืองสปาตาชื่อ Agesilaus ได้ไปเยี่ยมประเทศอียิปต์ใน และเขาก็สนใจการขุนอาหารแบบนี้เลยเผยแพร่เข้าไปยุโรปในกาลต่อมา และมันก็เผยแพร่ไปทั่วโลก เช่น สหรัฐ และจีนในที่สุด

อย่างไรก็ตามฟัวกราส์ในแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน การขุนอาหารก็ต่างกันด้วยเช่นใช้ลูกพิชในการขุน ใช้อาหารหมาในการขุน หรือพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งอาหารที่แต่ชนิดทำให้สัตว์ที่กินมีการขยายของตับต่างกัน


ทุกวันนี้ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตฟัวกราส์มากที่สุด และผู้บริโภคฟัวกราส์มากที่สุดด้วย นอกกจากนี้ยังมีประชาชาติชาวยุโรปอื่น สหรัฐ และจีนซึ่งเป็นผู้ผลิต-บริโภคฟัวกราสต์เป็นอันดับต้นๆ ของจากสถิตทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราส์ประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราส์จากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราส์ใน พ.ศ.2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

La petit prince






เจ้าชายน้อย (ฝรั่งเศสLe Petit Prince) เป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1943 อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรีเขียนงานเขียนชิ้นนี้ขณะพำนักอยู่ที่นิวยอร์ก เจ้าชายน้อยถือได้ว่าเป็นหนังสือขายดีติดอันดับโลก นวนิยายชุดนี้ได้รับการจัดแปลกว่า 190 ภาษาและมียอดจำหน่ายกว่า 80 ล้านเล่มทั่วโลก[1][2] ในหลายประเทศได้มีการนำเอาเนื้อเรื่องจากหนังสือไปสร้างเป็นการ์ตูนภาพยนตร์ ละครเวที อุปรากร และการแสดงรูปแบบอื่น ๆ

เนื้อเรื่องย่อ[แก้]

เจ้าชายน้อยได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาถึงคุณค่าของมนุษย์โดยได้พบกับผู้คนมากหน้าหลากหลาย และเห็นพฤติกรรมที่ไร้คุณค่าอย่างแท้จริง จนกระทั่งมาพบกับคนจุดแสงตะเกียงที่ทำคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์นี้เองที่ทำให้เจ้าชายน้อยเกิดความประทับใจ

รูปแบบวรรณกรรม[แก้]

แรกเริ่มเดิมที แซ็งแตกซูว์เปรี ผู้ประพันธ์ มีจุดประสงค์เขียนเพื่อเสียดสีสังคมเท่านั้น ทว่าเนื้อหาที่มีแง่คิดดี ๆ เหล่านี้ได้ถูกนักวิจัยจัดให้งานเขียนชิ้นนี้อยู่ในกลุ่มของวรรณกรรมเยาวชนแทนในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีข้อคิดสอดแทรกดี ๆ ที่คล้ายคลึงกับหลักพุทธธรรมด้วยเช่นกัน เช่น หลักอนิจจัง

La madeleine ,une paroisse atypique











« La Madeleine » s’impose dans le paysage parisien. Tout à la fois un quartier et une église. Au-delà de cette évidence, les subtilités apparaissent. Il y a en fait trois quartiers comme le rappelait avec justesse un magasin bien connu. Le plus ancien, autour de la rue Saint-Honoré. De l’autre côté de la rue Royale, le Faubourg du même nom. Et enfin le quartier transformé sous Haussmann entre les grands magasins et l’Opéra.
L’église : tout le monde la repère extérieurement mais tous n’y sont pas rentrés, peut-être rebutés par le caractère monumental de l’édifice. Son aspect massif et païen a été décrié dès les origines « Tome 2 de la Bourse, la bas de laine » disait Victor Hugo. La somptuosité de ses décors scandalisait Montalembert : « Le pauvre ne peut se sentir chez lui » Là aussi notre regard doit s’aiguiser. Que portent ces robustes colonnes si ce n’est un fronton qui met en exergue la fragilité humaine :

Marie-Madeleine, la pécheresse repentante de l’Evangile. 

Aujourd’hui, les bureaux ont pris le pas sur les habitations au risque d’effacer ces nuances. La majorité des personnes que l’on croise dans les rues ne résident pas sur place.
Pour répondre à cette évolution, la paroisse de la Madeleine est animée du désir d’être une présence bien visible au cœur de Paris et d’être à l’écoute de nos contemporains. On parle du socle pour qualifier les massifs de pierres qui forment l’assise de l’église. Mais ce socle est fait aussi de pierres vivantes que sont les associations attentives aux blessés de la vie comme Ozanam-MadeleineCyber-espace ou Accueil-EmploiLe Foyer de la Madeleine sert plus de trois cents déjeuners par jour à ceux qui travaillent ou passent dans le quartier ainsi qu’à des personnes défavorisées.

L’église, ouverte tous les jours, permet à près de sept cent mille visiteurs annuels de découvrir les richesses artistiques qu’elle renferme et de prendre un temps de prière ou de recueillement. La qualité musicale des liturgies et les nombreuses manifestations musicales proposées répondent à l’aspiration spirituelle de beaucoup de personnes. La présence d’un prêtre à l’accueil et aussi la journée du pardon avant Pâques offrent à des chrétiens d’ici ou d’ailleurs de réaliser, à la suite de Marie-Madeleine qu’ils sont aimés de Dieu.

Une madeleine






“มัดเดอแลน” เป็นขนมเค้กเล็ก ๆ ของแคว้น Alsace-Lorainne ทางเหนือของประเทศฝรั่งเศส La madeleine de Commercy ชื่อสุดหรูนี้น่าจะมาจากสาวรุ่นนางหนึ่งชื่อ «Madeleine Paulmier» สาวใช้ประจำตัวของภรรยาท่านมาควิส
Perrotin Baumont คาดว่าเธอมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 18 ประมาณปี 1755 สาวเจ้าทำขนมไข่ชนิดนี้เพื่อมอบให้ดยุคท่านหนึ่งซึ่งเป็นแขกมาเยือนบ้านท่านมาควิส ต่อมาพัฒนาไปเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประจำแคว้นนี้จวบจนปัจจุบัน กล่าวคือ เมื่อมีแขกมาเยือนบ้าน เจ้าบ้านจะต้องมอบขนม madeleine ให้ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของที่ระลึก

la madeleine เป็นขนมที่เกิดขึ้นในช่วงศาสนารุ่งเรือง ซึ่งผู้คนนิยมเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศสเปน ณ มหาวิหาร Saint-Jacques-de-Compostelle ที่นี่เอง มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อเดียวกับขนม ทำขนมไข่แบบนี้แจกจ่ายให้แก่ผู้แสวงบุญ เชื่อว่าขนมเค้กไข่มีรูปทรงเหมือนหอย เพราะว่าในดินแดนแห่งนี้เป็นแหล่งชุมนุมของหอยระดับเชลล์ชวนชิม คุณ ๆ น่าจะรู้จักในชื่อ หอยเซนต์ฌาร์ค หรือ coquille Saint-Jacques และหอยชื่อหรูนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของการจาริกแสวงบุญอีกด้วย เล่ากันอีกตำนานว่าตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา จวบจนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คนที่เดินทางด้วยรถไฟ ต่างพากันมาออกันแน่นหน้าประตูโบกี้รถไฟ เมื่อรถไฟหยุดที่สถานีเมือง Commercy เพื่อชมการแสดงน่าตื่นตาตื่นใจไม่ธรรมดาของบรรดาแม่ค้าขนม madeleine ซึ่งหิ้วตะกร้าหวายขนาดใหญ่บรรจุขนม madeleine สาว ๆ เหล่านี้สามารถหิ้วตะกร้าใบยักษ์เดินฝ่าฝูงชนจำนวนมากบนชานชาลาสถานีรถไฟพร้อมกับร้องตะโกนขายขนมสุดเสียง มองไปทางไหนก็เห็นสาว ๆ ทำแบบเดียวกัน แม้ไม่พร้อมเพรียงกันแต่เป็นลีลาและสีสันของสถานีแห่งนี้ที่ต้องไม่พลาดชม อาชีพค้าขายขนมแบบนี้หนักหนาสาหัสเอาการสำหรับสาว ๆ เหล่านี้ พวกเธอต้องขายขนมให้ได้มากที่สุดในเวลาสั้นที่สุดของการพัก ณ สถานีรถไฟแห่งนี้

สำนวน tremper sa madeleine แปลว่า จุ่มขนมมัดเดอแลน (ในเครื่องดื่มร้อน เช่น กาแฟ )   

แผ่นดินไหวเนปาล

สลดใจ...นายกฯ เนปาล คาดอาจมีผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหว นับหมื่นคน ระบุมีหมู่บ้านในชนบทห่างไกลอีกจำนวนมากที่พังราบเป็นหน้ากลอง แต่ทีมกู้ภัยยังไปไม่ถึง ขณะที่ยอดตัวเลขเหยื่อเคราะห์ร้ายเพิ่มกว่า 4,400 คน ยูเอ็นประเมินมีชาวเนปาลได้รับผลกระทบจากธรณีพิโรธนับ 8 ล้านคน
เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 58 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์แผ่นดินไหวสุดวิปโยค ขนาด 7.8 เขย่าเนปาล เมื่อบ่ายวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา และกรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวง เป็นเมืองที่ได้รับความเสียหายหนักสุด โดยขณะนี้ บรรดาทหาร เจ้าหน้าที่กู้ภัย และอาสาสมัครจำนวนมาก พยายามเร่งค้นหาผู้ประสบภัยที่อาจยังรอดชีวิตอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากธรณีพิโรธ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจนถึงวันที่ 28 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 4,400 คน ขณะที่ยังมีรายงานว่ามีชาวอินเดียเสียชีวิตจากแผ่นดินไหว อีก 72 คน และจีน 25 คน ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 8,000 คนในเนปาล และที่จีน กว่า 100 คน
ขณะที่ นายกรัฐมนตรีสุชิล คอยราลา แห่งเนปาล กล่าวให้สัมภาษณ์กับนักข่าวรอยเตอร์ ว่า ความรุนแรงของธรณีพิโรธครั้งนี้ อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10,000 คน เนื่องจากยังมีหมู่บ้านในชนบทห่างไกลอีกเป็นจำนวนมากที่ทีมกู้ภัยยังเข้าไปไม่ถึง โดยขณะนี้ รัฐบาลกำลังทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่มีชาวเนปาลบางส่วนเริ่มรู้สึกโมโหไม่พอใจรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือล่าช้า เพราะพวกเขาขาดแคลนทั้งอาหารและน้ำดื่มจนประสบความยากลำบากอย่างมาก
ด้านองค์การสหประชาชาติได้ประเมินความเสียหายจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่เนปาลว่า ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วแถบเทือกเขาหิมาลัยนับ 8 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ กว่า 1.4 ล้านคน ขาดแคลนอาหารและจำเป็นต้องการได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารอย่างเร่งด่วน 
ทีมกู้ภัยจากไต้หวันเดินทางออกจากท่าอากาศยานกรุงไทเป เมื่อ 28 เม.ย. เพื่อไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่เนปาล
ขณะที่ สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เนปาล ที่สร้างความพินาศเสียหายมหาศาลนั้น ได้มีรัฐบาลหลายประเทศส่งทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยไปช่วยค้นหาผู้ประสบภัย โดยทางการไต้หวันได้ส่งทีมกู้ภัย 37 คน พร้อมสิ่งของช่วยเหลือกว่า 5 ตัน ออกเดินทางไปช่วยเหลือชาวเนปาล เมื่อวันที่ 28 เม.ย. นอกจากนั้นยังมีชาวเนปาลหลายคน ซึ่งอาศัยอยู่ในอินเดีย ได้มีความรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมชาติ ถึงกับนำอาหาร ผ้าห่ม และผ้าพันแผลจำนวนมากแบกขึ้นรถบัสโดยสารเดินทางนำไปช่วยเหลือชาวเนปาลที่ประสบภัยแผ่นดินไหว ด้วยตนเอง