วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

Foie gras (ตับห่าน)

ตับห่าน หรือเรียกอีกชื่อว่า"ฟัวกรา"


ฟัวกรา (ฝรั่งเศส: Foie gras [fwɑ gʁɑ]) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา

ฟัวกราส์เป็นอาหารราคาแพง ราคาเริ่มต้นที่ เจ็ดสิบยูโรต่อกิโล ไปเรื่อย ๆ เคยเห็นสูงสุดที่ร้อยห้าสิบยูโร แต่คงมีสูงกว่านี้ แต่ยังแพงน้อยกว่าไข่ปลาคาเวียร์ รสชาติก็คงตามราคา กินตามงานเลี้ยง และร้านอาหารที่มีในเมนูที่สั่งบ้าง แต่บ่อยหรอก โดยฟัวกราส์ ถ้าคุณภาพดี เนื้อตับจะแน่น เนื้อละเอียด นุ่มลิ้นไม่ต้องเคี้ยว ใช้ลิ้นดันให้ละลายในปากได้


การที่จะทำฟัวกราส์สักชิ้นนั้นส่วนใหญ่มักใช้เป็ด Moulard ขุน และเมืองที่ขึ้นชื่อทำตับห่านมากที่สุดคือเมือง Strassburg เนื่องจากเมืองนั้นเป็นผู้ผลิตหลักของผลิตภัณฑ์อาหารชนิดนี้

ฟัวกราส์เป็นอาหารที่มีชื่อเสียงมาก เป็นที่รู้จักกันดีในรสชาติละเอียดอ่อนบวกกับฝีมือการทำอาหารฝรั่งเศสทำให้รสชาติของมันไม่สามารถบรรยายด้วยคำพูด ทำให้ตับห่านฟัวกราส์ที่ออกมาวางขายแต่ละครั้งมักขายหมดไปอย่างรวดเร็ว

ต้นกำเนิดฟัวกราส์แท้ๆ ไม่ใช้ฝรั่งเศส เพราะจากประวัติศาสตร์โลกพบว่าการเลี้ยงขุนสัตว์ปีกด้วยหลอดอาหารที่มีอายุเก่าแก่พบว่ามันมีมาตั้งแต่ 2500 BC มาแล้ว โดยในประเทศอียิปต์คนโบราณเริ่มขุนนกโดยการสอดหลอดใส่อาหารบังคับให้มันอ้วน โดยหลักฐานอยู่ในในสุสานของ Saqqara ที่Mereruka มีภาพผนังรูปคนกำลังบังคับนกให้กินอาหารทางหลอดอาหาร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศอียิปต์ถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมีการรู้จักวิธีนี้มานานจากนั้นักกวีกรีกชื่อ Cratinus ได้เขียนเกี่ยวกับการขุนอาหารนี้เช่นกันโดยเล่าว่าประเทศอียิปต์มีชื่อเสียงและต้นกำเนิดการขุนอ้วน ต่อมา361 BC เมื่อกษัตริย์เมืองสปาตาชื่อ Agesilaus ได้ไปเยี่ยมประเทศอียิปต์ใน และเขาก็สนใจการขุนอาหารแบบนี้เลยเผยแพร่เข้าไปยุโรปในกาลต่อมา และมันก็เผยแพร่ไปทั่วโลก เช่น สหรัฐ และจีนในที่สุด

อย่างไรก็ตามฟัวกราส์ในแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน การขุนอาหารก็ต่างกันด้วยเช่นใช้ลูกพิชในการขุน ใช้อาหารหมาในการขุน หรือพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งอาหารที่แต่ชนิดทำให้สัตว์ที่กินมีการขยายของตับต่างกัน


ทุกวันนี้ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตฟัวกราส์มากที่สุด และผู้บริโภคฟัวกราส์มากที่สุดด้วย นอกกจากนี้ยังมีประชาชาติชาวยุโรปอื่น สหรัฐ และจีนซึ่งเป็นผู้ผลิต-บริโภคฟัวกราสต์เป็นอันดับต้นๆ ของจากสถิตทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราส์ประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราส์จากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราส์ใน พ.ศ.2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

La petit prince






เจ้าชายน้อย (ฝรั่งเศสLe Petit Prince) เป็นนวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของอ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี นักเขียนชาวฝรั่งเศส ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1943 อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรีเขียนงานเขียนชิ้นนี้ขณะพำนักอยู่ที่นิวยอร์ก เจ้าชายน้อยถือได้ว่าเป็นหนังสือขายดีติดอันดับโลก นวนิยายชุดนี้ได้รับการจัดแปลกว่า 190 ภาษาและมียอดจำหน่ายกว่า 80 ล้านเล่มทั่วโลก[1][2] ในหลายประเทศได้มีการนำเอาเนื้อเรื่องจากหนังสือไปสร้างเป็นการ์ตูนภาพยนตร์ ละครเวที อุปรากร และการแสดงรูปแบบอื่น ๆ

เนื้อเรื่องย่อ[แก้]

เจ้าชายน้อยได้ออกเดินทางเพื่อค้นหาถึงคุณค่าของมนุษย์โดยได้พบกับผู้คนมากหน้าหลากหลาย และเห็นพฤติกรรมที่ไร้คุณค่าอย่างแท้จริง จนกระทั่งมาพบกับคนจุดแสงตะเกียงที่ทำคุณประโยชน์ให้กับเพื่อนมนุษย์นี้เองที่ทำให้เจ้าชายน้อยเกิดความประทับใจ

รูปแบบวรรณกรรม[แก้]

แรกเริ่มเดิมที แซ็งแตกซูว์เปรี ผู้ประพันธ์ มีจุดประสงค์เขียนเพื่อเสียดสีสังคมเท่านั้น ทว่าเนื้อหาที่มีแง่คิดดี ๆ เหล่านี้ได้ถูกนักวิจัยจัดให้งานเขียนชิ้นนี้อยู่ในกลุ่มของวรรณกรรมเยาวชนแทนในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีข้อคิดสอดแทรกดี ๆ ที่คล้ายคลึงกับหลักพุทธธรรมด้วยเช่นกัน เช่น หลักอนิจจัง

La madeleine ,une paroisse atypique











« La Madeleine » s’impose dans le paysage parisien. Tout à la fois un quartier et une église. Au-delà de cette évidence, les subtilités apparaissent. Il y a en fait trois quartiers comme le rappelait avec justesse un magasin bien connu. Le plus ancien, autour de la rue Saint-Honoré. De l’autre côté de la rue Royale, le Faubourg du même nom. Et enfin le quartier transformé sous Haussmann entre les grands magasins et l’Opéra.
L’église : tout le monde la repère extérieurement mais tous n’y sont pas rentrés, peut-être rebutés par le caractère monumental de l’édifice. Son aspect massif et païen a été décrié dès les origines « Tome 2 de la Bourse, la bas de laine » disait Victor Hugo. La somptuosité de ses décors scandalisait Montalembert : « Le pauvre ne peut se sentir chez lui » Là aussi notre regard doit s’aiguiser. Que portent ces robustes colonnes si ce n’est un fronton qui met en exergue la fragilité humaine :

Marie-Madeleine, la pécheresse repentante de l’Evangile. 

Aujourd’hui, les bureaux ont pris le pas sur les habitations au risque d’effacer ces nuances. La majorité des personnes que l’on croise dans les rues ne résident pas sur place.
Pour répondre à cette évolution, la paroisse de la Madeleine est animée du désir d’être une présence bien visible au cœur de Paris et d’être à l’écoute de nos contemporains. On parle du socle pour qualifier les massifs de pierres qui forment l’assise de l’église. Mais ce socle est fait aussi de pierres vivantes que sont les associations attentives aux blessés de la vie comme Ozanam-MadeleineCyber-espace ou Accueil-EmploiLe Foyer de la Madeleine sert plus de trois cents déjeuners par jour à ceux qui travaillent ou passent dans le quartier ainsi qu’à des personnes défavorisées.

L’église, ouverte tous les jours, permet à près de sept cent mille visiteurs annuels de découvrir les richesses artistiques qu’elle renferme et de prendre un temps de prière ou de recueillement. La qualité musicale des liturgies et les nombreuses manifestations musicales proposées répondent à l’aspiration spirituelle de beaucoup de personnes. La présence d’un prêtre à l’accueil et aussi la journée du pardon avant Pâques offrent à des chrétiens d’ici ou d’ailleurs de réaliser, à la suite de Marie-Madeleine qu’ils sont aimés de Dieu.

Une madeleine






“มัดเดอแลน” เป็นขนมเค้กเล็ก ๆ ของแคว้น Alsace-Lorainne ทางเหนือของประเทศฝรั่งเศส La madeleine de Commercy ชื่อสุดหรูนี้น่าจะมาจากสาวรุ่นนางหนึ่งชื่อ «Madeleine Paulmier» สาวใช้ประจำตัวของภรรยาท่านมาควิส
Perrotin Baumont คาดว่าเธอมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 18 ประมาณปี 1755 สาวเจ้าทำขนมไข่ชนิดนี้เพื่อมอบให้ดยุคท่านหนึ่งซึ่งเป็นแขกมาเยือนบ้านท่านมาควิส ต่อมาพัฒนาไปเป็นธรรมเนียมปฏิบัติประจำแคว้นนี้จวบจนปัจจุบัน กล่าวคือ เมื่อมีแขกมาเยือนบ้าน เจ้าบ้านจะต้องมอบขนม madeleine ให้ติดไม้ติดมือกลับไปเป็นของที่ระลึก

la madeleine เป็นขนมที่เกิดขึ้นในช่วงศาสนารุ่งเรือง ซึ่งผู้คนนิยมเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศสเปน ณ มหาวิหาร Saint-Jacques-de-Compostelle ที่นี่เอง มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อเดียวกับขนม ทำขนมไข่แบบนี้แจกจ่ายให้แก่ผู้แสวงบุญ เชื่อว่าขนมเค้กไข่มีรูปทรงเหมือนหอย เพราะว่าในดินแดนแห่งนี้เป็นแหล่งชุมนุมของหอยระดับเชลล์ชวนชิม คุณ ๆ น่าจะรู้จักในชื่อ หอยเซนต์ฌาร์ค หรือ coquille Saint-Jacques และหอยชื่อหรูนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของการจาริกแสวงบุญอีกด้วย เล่ากันอีกตำนานว่าตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา จวบจนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คนที่เดินทางด้วยรถไฟ ต่างพากันมาออกันแน่นหน้าประตูโบกี้รถไฟ เมื่อรถไฟหยุดที่สถานีเมือง Commercy เพื่อชมการแสดงน่าตื่นตาตื่นใจไม่ธรรมดาของบรรดาแม่ค้าขนม madeleine ซึ่งหิ้วตะกร้าหวายขนาดใหญ่บรรจุขนม madeleine สาว ๆ เหล่านี้สามารถหิ้วตะกร้าใบยักษ์เดินฝ่าฝูงชนจำนวนมากบนชานชาลาสถานีรถไฟพร้อมกับร้องตะโกนขายขนมสุดเสียง มองไปทางไหนก็เห็นสาว ๆ ทำแบบเดียวกัน แม้ไม่พร้อมเพรียงกันแต่เป็นลีลาและสีสันของสถานีแห่งนี้ที่ต้องไม่พลาดชม อาชีพค้าขายขนมแบบนี้หนักหนาสาหัสเอาการสำหรับสาว ๆ เหล่านี้ พวกเธอต้องขายขนมให้ได้มากที่สุดในเวลาสั้นที่สุดของการพัก ณ สถานีรถไฟแห่งนี้

สำนวน tremper sa madeleine แปลว่า จุ่มขนมมัดเดอแลน (ในเครื่องดื่มร้อน เช่น กาแฟ )   

แผ่นดินไหวเนปาล

สลดใจ...นายกฯ เนปาล คาดอาจมีผู้เสียชีวิตจากโศกนาฏกรรมแผ่นดินไหว นับหมื่นคน ระบุมีหมู่บ้านในชนบทห่างไกลอีกจำนวนมากที่พังราบเป็นหน้ากลอง แต่ทีมกู้ภัยยังไปไม่ถึง ขณะที่ยอดตัวเลขเหยื่อเคราะห์ร้ายเพิ่มกว่า 4,400 คน ยูเอ็นประเมินมีชาวเนปาลได้รับผลกระทบจากธรณีพิโรธนับ 8 ล้านคน
เมื่อวันที่ 28 เม.ย. 58 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเหตุการณ์แผ่นดินไหวสุดวิปโยค ขนาด 7.8 เขย่าเนปาล เมื่อบ่ายวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา และกรุงกาฐมาณฑุ เมืองหลวง เป็นเมืองที่ได้รับความเสียหายหนักสุด โดยขณะนี้ บรรดาทหาร เจ้าหน้าที่กู้ภัย และอาสาสมัครจำนวนมาก พยายามเร่งค้นหาผู้ประสบภัยที่อาจยังรอดชีวิตอยู่ใต้ซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือนว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากธรณีพิโรธ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจนถึงวันที่ 28 เม.ย. มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 4,400 คน ขณะที่ยังมีรายงานว่ามีชาวอินเดียเสียชีวิตจากแผ่นดินไหว อีก 72 คน และจีน 25 คน ขณะที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 8,000 คนในเนปาล และที่จีน กว่า 100 คน
ขณะที่ นายกรัฐมนตรีสุชิล คอยราลา แห่งเนปาล กล่าวให้สัมภาษณ์กับนักข่าวรอยเตอร์ ว่า ความรุนแรงของธรณีพิโรธครั้งนี้ อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 10,000 คน เนื่องจากยังมีหมู่บ้านในชนบทห่างไกลอีกเป็นจำนวนมากที่ทีมกู้ภัยยังเข้าไปไม่ถึง โดยขณะนี้ รัฐบาลกำลังทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ขณะที่มีชาวเนปาลบางส่วนเริ่มรู้สึกโมโหไม่พอใจรัฐบาลที่ให้ความช่วยเหลือล่าช้า เพราะพวกเขาขาดแคลนทั้งอาหารและน้ำดื่มจนประสบความยากลำบากอย่างมาก
ด้านองค์การสหประชาชาติได้ประเมินความเสียหายจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่เนปาลว่า ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วแถบเทือกเขาหิมาลัยนับ 8 ล้านคน โดยในจำนวนนี้ กว่า 1.4 ล้านคน ขาดแคลนอาหารและจำเป็นต้องการได้รับความช่วยเหลือด้านอาหารอย่างเร่งด่วน 
ทีมกู้ภัยจากไต้หวันเดินทางออกจากท่าอากาศยานกรุงไทเป เมื่อ 28 เม.ย. เพื่อไปช่วยผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวที่เนปาล
ขณะที่ สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เนปาล ที่สร้างความพินาศเสียหายมหาศาลนั้น ได้มีรัฐบาลหลายประเทศส่งทีมเจ้าหน้าที่กู้ภัยไปช่วยค้นหาผู้ประสบภัย โดยทางการไต้หวันได้ส่งทีมกู้ภัย 37 คน พร้อมสิ่งของช่วยเหลือกว่า 5 ตัน ออกเดินทางไปช่วยเหลือชาวเนปาล เมื่อวันที่ 28 เม.ย. นอกจากนั้นยังมีชาวเนปาลหลายคน ซึ่งอาศัยอยู่ในอินเดีย ได้มีความรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนร่วมชาติ ถึงกับนำอาหาร ผ้าห่ม และผ้าพันแผลจำนวนมากแบกขึ้นรถบัสโดยสารเดินทางนำไปช่วยเหลือชาวเนปาลที่ประสบภัยแผ่นดินไหว ด้วยตนเอง

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โรคซิฟิลิส

      สำหรับโรคซิฟิลิสนี้ พบได้ราว 10-15% ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด และหากใครกำลังสงสัยว่า เราเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือมีอาการของโรค ซิฟิลิส หรือไม่ มาทำความรู้จักกับเจ้าโรคนี้ไปพร้อม ๆ กันเลย

     โรคซิฟิลิส ติดต่อกันได้อย่างไร

              คนเราสามารถรับเชื้อซิฟิลิสได้ 3 ทาง คือ

               1. ทางเพศสัมพันธ์ โดยติดต่อผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ

               2. ติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก

               3. จากแม่สู่ลูก โดยหากมารดาเป็นซิฟิลิส จะถ่ายทอดโรคนี้สู่ทารกในครรภ์ได้ โดยเรียกเด็กที่เป็นซิฟิลิสจากสาเหตุนี้ว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis) จะแสดงอาการหลังคลอดได้ 3-8 สัปดาห์ และเป็นอาการเล็กน้อยมาก จนแทบไม่ทันได้สังเกต เช่น มีตุ่มผื่นขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่มาออกอาการมาก ๆ เข้าเมื่อตอนโต ซึ่งก็เข้าสู่ระยะที่สี่แล้ว หรือบางคนอาจแสดงอาการพิการออกมาให้เห็นได้ชัด

     อาการของโรคซิฟิลิส

              ซิฟิลิส ส่วนใหญ่มักพบในผู้ชาย โดยผู้ป่วยซิฟิลิสจะมีอาการหลายแบบ ขึ้นอยู่กับระยะของโรค ซึ่งแบ่งเป็น 4 ขั้น คือ 

               ระยะแรก Primary Syphilis

              เชื้อซิฟิลิสจะเข้าทางเยื่อบุ หรือรอยถลอก รอยแผลที่ผิวหนังซึ่งมักพบที่อวัยวะเพศชาย อัณฑะ ทวารหนัก ช่องคลอด ริมฝีปาก และมักเป็นเพียงแผลเดียว ลักษณะเป็นแผลริมแข็ง คือแผลมีขอบนูนแข็ง แต่ไม่เจ็บ และดูสะอาด ต่อมน้ำเหลืองจะโต 

              จากนั้นอีก 10-90 วัน หลังจากได้รับเชื้อจะเกิดตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า แผลที่เห็นจะเป็นอยู่ 1-5 สัปดาห์ แล้วจะหายไปเองได้ แต่แม้แผลจะหายแล้ว ยังคงมีเชื้อซิฟิลิสในกระแสเลือดอยู่ อย่างไรก็ตาม หากผู้ได้รับเชื้อซิฟิลิสเป็นโรคเอดส์อยู่ก่อนหน้า แผลที่ปรากฎจะมีขนาดใหญ่ และกดเจ็บมาก 


    ซิฟิลิส

    อาการผื่นของ ซิฟิลิส 
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก wikipedia  

               ระยะที่ 2 Secondary Syphilis

              หากผู้ป่วยซิฟิลิสไม่ได้รับการรักษาในระยะแรก จนกระทั่งล่วงเลยมาประมาณ 6-8 สัปดาห์ ซิฟิลิสจะเข้าสู่ระยะที่สอง โดยเชื้อจะกระจายไปตามกระแสเลือด ทำให้เป็นไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามข้อ เพราะข้ออักเสบ 

              นอกจากนี้ยังปรากฎอาการสำคัญ คือ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ มีผื่นสีแดงน้ำตาลขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจพบได้ทั่วตัว โดยที่ไม่คัน รวมทั้งยังอาจพบผื่นสีเทาในปาก คอ และปากมดลูก และอาจพบหูด Condylomata lata ในบริเวณที่อับชื้น เช่น รักแร้ ทวารหนัก ขาหนีบ ระยะนี้จึงอาจเรียกได้ว่า ระยะเข้าข้อ หรือออกดอก อย่างไรก็ตาม อาการในขั้นนี้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-3 เดือนและจะหายไปได้เอง โดยอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ใหม่ 

               ระยะที่ 3 Latent Stage หรือ ระยะแฝง 

              ระยะนี้อาจกินเวลานานหลายปีหลังจากได้รับเชื้อเลยทีเดียว และจะเป็นระยะที่ไม่มีอาการใด ๆ ของโรคปรากฎออกมา แต่อาจจะเกิดผื่นได้เหมือนในระยะที่ 2 ดังนั้นการเจาะเลือดไปตรวจเป็นทางเดียวที่จะตรวจสอบได้ว่า เป็นโรคซิฟิลิสหรือไม่ และหากสตรีที่มีเชื้อซิฟิลิสเข้าสู่ขั้นที่ 3 นี้เกิดตั้งครรภ์ เชื้อซิฟิลิสจะสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกในครรภ์ได้

               ระยะที่ 4 Late Stage (Tertiary)

              ระยะนี้จะกินเวลา 2–30 ปี หลังได้รับเชื้อ โดยเชื้อจะเข้าไปทำลายอวัยวะต่าง ๆ ภายใน ทำให้เกิดความผิดปกติ เช่น ซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท อาจทำให้ตาบอด หูหนวก กระดูกหักได้ง่าย ซึ่งหากรักษาไม่ทัน จะทำให้อวัยวะต่าง ๆ ถูกทำลายจนไม่สามารถกลับเป็นปกติได้ ส่วนเด็กในครรภ์ที่ได้รับเชื้อจากมารดาก็อาจเกิดความผิดปกติ พิการ เสียชีวิตตั้งแต่ในครรภ์ หรือเสียชีวิตหลังคลอดได้ 

     จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น ซิฟิลิส

              การจะพิสูจน์ว่าเป็น ซิฟิลิส หรือไม่ สามารถทำโดยนำน้ำเหลืองจากแผล หรือผื่นที่ปรากฎบนตัวผู้ป่วยไปส่องกล้อง เพื่อหาตัวเชื้อโรค หรืออาจจะเจาะเลือดเพื่อตรวจหาภูมิต่อเชื้อซิฟิลิสก็ได้

     การรักษาโรคซิฟิลิส

              ผู้ป่วยโรคซิฟิลิสไม่ต้องกังวลไป เพราะหากตรวจพบเชื้อตั้งแต่ระยะต้น ๆ จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะ เพนนิซิลลิน เป็นเวลา 1-3 สัปดาห์ ทั้งนี้ระยะเวลาการรักษาขึ้นกับระยะของโรคที่เป็นด้วย และหากผู้ป่วยมีคู่สมรสก็ควรได้รับการรักษาคู่กัน 

              อย่างไรก็ตาม แม้จะรักษาหายแล้วต้องกลับมาตรวจซ้ำอีกในช่วงแรก ทุก ๆ 3 เดือนจนครบ 3 ปี เพราะอาจมีเชื้อหลบในแอบแฝงอยู่ และจะได้แน่ใจว่าโรคหายขาด ทั้งนี้ ระหว่างการรักษาโรคซิฟิลิส ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด งดการมีเพศสัมพันธ์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น


    ถุงยางอนามัย ป้องกัน ซิฟิลิส


     แล้วจะป้องกัน ซิฟิลิส ได้อย่างไร

              ที่ทำได้และง่ายที่สุดในการป้องกันเจ้าโรค ซิฟิลิส นี้ก็คือ ควรป้องกันด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อจะมีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หากจะแต่งงานต้องจูงมือคนรักไปตรวจเลือดก่อนแต่งงาน เพื่อว่าหากพบใครเป็นโรคนี้จะได้รักษาให้หายขาดก่อน 

              นอกจากนี้ใครที่มีอาการผิดปกติ ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรค ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด เพื่อจะได้รักษาโรคได้ทันท่วงที ก่อนจะสายจนเกินเยียวยา

Louis Pasteur

หลุยส์ ปาสเตอร์ผู้ประกาศสงครามกับเชื้อโรค

                    ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ.1860 หลุยส์ ปาสเตอร์ นักเคมีชาวฝรั่งเศส เดินทางไปไต่ภูเขาแอลป์ บริเวณใกล้ชาโมนีซ์ เขานำขวดปิดผนึกไปด้วยกว่า 30 ใบ ในขวดมีน้ำส่าสกัด กับน้ำตาล ก่อนหน้านี้ ปาสเตอร์ เคยทดลองให้เห็นมาแล้วว่า ถ้าเปิดขวดทิ้งไว้กลางอากาศ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง สิ่งที่บรรจุไว้ในขวด จะมีเชื้อโรคปนเปื้อน ครั้งนี้ ปาสเตอร์ขึ้นไปบนภูเขาสูง 1,500 เมตร ซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ปราศจากเชื้อโรค แล้วเปิดขวดให้อากาศเข้าไป จากนั้นจึงปิดผนึกอีกครั้ง เมื่อกลับมาถึงห้องทดลอง เขาก็แสดงให้เห็นว่า น้ำส่านั้นไม่บูดหรือเสีย
                  
                    การค้นพบครั้งนี้ได้นำไปใช้กำจัดเชื้อโรค ในน้ำนม เหล้าองุ่น และเบียร์ ทำให้เครื่องดื่มเหล่านี้ ปลอดภัยและน่าดื่ม จากผลของการศึกษานานแรมปีนี้เอง ปาสเตอร์ยืนยันว่า  " โรค "   ที่เกิดในของเหลวชนิดต่างๆ มาจากเชื้อแบคทีเรีย ในบรรยากาศชั้นล่างๆ ซึ่งเป็นภัยต่อสุขภาพของสิ่งมีชีวิต เขายังเขียนไว้ในเวลาต่อมาว่า   " ในโลกของการทดลอง โชคจะเข้าข้าง แต่จิตใจที่เตรียมพร้อมแล้วเท่านั้น "
                    ตัวของเขาก็ได้เตรียมใจไว้พร้อมแล้ว ตั้งแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ วิชาเคมีในปลายทศวรรษ 1840 ที่สถาบันวิทยาศาสตร์ เมืองสตราสบูร์ก ซึ่งอยู่ทางตะวันออก ของฝรั่งเศส เขาเขียนจดหมายถึงเพื่อนคนหนึ่งในปี ค.ศ.1851 ว่า  " ผมจวนไขความลับได้แล้ว หมอกที่บดบังจางลงทุกทีแล้ว "   อีก 6 ปีต่อมา เขาก็วิเคราะห์ถึงกระบวนการหมักเชื้อ ในแอลกฮอล์ และสรุปว่าสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว ซึ่งต่อมาเขาเรียกว่า  " จุลินทรีย์ "  นั้น เป็นสาเหตุให้ของเหลวบางอย่าง เช่น น้ำส้มสายชู และเหล้าองุ่น เน่าบูด
                    พระเจ้านโปเลียนที่ 3 ทรงมีรับสั่งให้ ปาสเตอร์แก้ปัญหาเรื่องเชื้อโรค ที่ทำให้เหล้าองุ่นเสื่อมคุณภาพ เหล้าองุ่นเป็นผลิตผลสำคัญอย่างหนึ่ง ของฝรั่งเศส ปาสเตอร์ได้ไปเยือนไร่องุ่นนับสิบๆ แห่ง เขาซักถามคนงาน ทดลองชิม แนะนำตัวอย่างเหล้าองุ่นต่างๆ กลับมาตรวจดู ทั้งขั้นที่ยังบ่มไม่ได้ที่ บ่มได้ที่แล้ว และขั้นที่เสื่อมคุณภาพแล้ว
                    ผลการทดสอบแสดงว่า เราอาจทำลายเชื้อโรคที่อุณหภูมิ 55 องศาเซลเซียส โดยไม่มีผลต่อรสชาติของเหล้า กรรมวิธีนี้ต่อมาเรียกว่า " การฆ่าเชื้อแบบปาสเตอร์ " หรือ " การพาสเจอไรซ์ " (pasteurisation) ซึ่งปาสเตอร์นำไปใช้ทำให้นมปลอดเชื้อด้วย
                    อันที่จริง เคยมีผู้เห็นแบคทีเรีย ด้วยกล้องจุลทรรศน์เป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ 200 ปีหน้านั้น แต่ในครั้งนั้นเข้าใจผิดไปว่าจุลินทรีย์ ผลที่เกิดจากการเน่าเสีย มิใช่สาเหตุ ปาสเตอร์เป็นบุคคลแรก ที่แก้ไขให้เข้าใจกันอย่างถูกต้อง
                    ไม่นานนัก ปาสเตอร์ก็เสาะหาวิธีรักษาโรคห่า ชนิดทั้งในคน และสัตว์ และเสนอแนวคิด ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างใหญ่หลวงว่า เชื้อโรคได้ " ปรากฎตัวขึ้นอย่างลึกลับจากที่ไหนก็ไม่รู้ "   แหล่งที่มาแน่ชัดที่สืบสาวไปได้ถึง คือจากความสกปรก และฝุ่นละออง
 นอกจากจะช่วยต่อสู้โรคพิษสุนัขบ้าแล้ว ผลงานด้านวัคซีนของปาสเตอร์ ยังช่วยเบิกทางสู่วิชาแพทย์แขนง   " วิทยาภูมิคุ้มกัน " (immunology) ทุกวันนี้มีโรคที่ให้พิการ หรือถึงแก่ชีวิตประมาณ 30 ชนิด รวมทั้งโรคหัด โรคโปลิโอ และโรคคอตีบ ซึ่งป้องกันได้ ด้วยการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกัน
                    ในปี ค.ศ.1888 ได้มีการเปิดสถาบันปาสเตอร์ ในกรุงปารีส งานส่วนหนึ่ง คือเพื่อค้นคว้าวิจัย เรื่องโรคพิษสุนัขบ้าต่อไป ต่อมาแม้อาการเส้นโลหิตแตก จะทำให้ปาสเตอร์มีสภาพกึ่งอัมพาต แต่กระนั้นเขาก็ยังดำรงตำแหน่งผู้นำของสถาบันแห่งนี้ จวบจนกระทั่งถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 28 กันยายน ค.ศ.1894 ศพของเขาฝังไว้ในสุสานหินอ่อน อันสง่างามในสถาบันแห่งนั้น คำจารึกที่สุสานของตนเอง ซึ่งเขาได้ประพันธ์เตรียมเอาไว้ มีความว่า
                    " กฎที่มีตัวเราเป็นเครื่องมือ คือกฎแห่งสันติภาพ การงาน และสุขภาพนั้น ย่อม