เฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลน เกิดในปี ค.ศ. 1480 ที่เมืองซาโบรซา หรือโปร์ตู ประเทศโปรตุเกส บิดาและมารดาของแมกเจลแลน เสียชีวิตตั้งแต่เขาอายุเพียง 10 ขวบ จึงไม่มีประวัติตอนเด็กที่เด่นชัดนัก เนื่องจากครอบครัวของแมกเจลแลน เป็นขุนนางชั้นสูง ทำให้เขาเป็นเด็กรับใช้ในวังของราชินีลีโอนอร์ ชายาของพระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งโปรตุเกส แมกเจลแลน แต่งงานกับ บรีทริซ บาร์โบซา มีบุตรสองคน
ประสบการณ์เดินทางครั้งแรกของเฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลน เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1505 เมื่อเขาอายุได้ 25 ปี โดยเขาถูกส่งไปที่อินเดียเพื่อแต่งตั้ง ฟรานซิสโก เดอ อัลไมดา เป็นผู้สำเร็จราชการชาวโปรตุเกส การเดินทางครั้งนี้ทำให้แมกเจลแลน มีประสบการณ์สงครามเป็นครั้งแรก เมื่อกษัตริย์ในพื้นที่นั้นซึ่งได้มอบเครื่องบรรณาการให้แก่ วาสโก ดา กามา แล้วก่อนหน้านั้นสามปี ปฏิเสธที่จะมอบเครื่องบรรณาการให้แก่อัลไมดา ส่งผลให้เกิดสงครามดีอูในปี ค.ศ.1509 หลังจากที่เฟอร์ดินันด์ แมกเจลแลน หนีสงครามครั้งนี้ทำให้เป็นที่เกลียดชังของอัลไมดา และอัลไมดาได้กล่าวหาว่าเขาทำการค้าที่ผิดกฎหมายกับพวกมัวร์ (Moors) ตามมาด้วยข้อกล่าวหาอื่น ๆ จนทำให้แมกเจลแลน ต้องออกจากราชการ
ในปลายศตวรรษที่ 15 นักเดินเรือในโปรตุเกสชื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้คิดแผนการที่จะออกเดินทางค้นหาเส้นทางไปยังทวีปเอเชียโดยการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แทนการอ้อมใต้ทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นเส้นทางปกติในสมัยนั้น โดยโคลัมบัสมีจุดหมายที่จะเปิดสัมพันธ์ทางการค้ากับทวีปทางเอเชียโคลัมบัสออกเดินทางจากสเปน ในปลายปี ค.ศ.1492 ใช้เวลาเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกว่า 2 เดือน เป็นระยะทางกว่า 4,000 ไมล์ ซึ่งเกินกว่าระยะทางที่โคลัมบัสได้คำนวณไว้ล่วงหน้า แต่ที่จริงแล้วเขายังไปได้ไม่ถึงครึ่งของเส้นทางสู่เอเชียด้วยซ้ำ
ถึงแม้โคลัมบัสจะไม่พบเส้นทางไปยังทวีปเอเชีย การค้นพบแผ่นดินทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกทำให้มีนักเดินเรือ และนักสำรวจจำนวนมากเดินทางข้ามมหาสมุทร แอตแลนติกเพื่อสำรวจโลกใหม่และค้นหาเส้นทางไปยังทวีปเอเชียผ่านโลกใหม่
ขณะนั้นโปรตุเกสกับสเปนทำความร่วมกันเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ.1494 ที่แบ่งการครอบครองโลกระหว่างโปรตุเกสกับสเปน โดยโปรตุเกสทำการสำรวจและครอบครองซีกโลกตะวันออก สวนสเปนทำการสำรวจและครอบครองซีกโลกตะวันตก ทำให้กษัตริย์สเปนตัดสินใจส่งทีมสำรวจออกไปเพื่อค้นหาเส้นทางเดินเรือไปยังทวีปเอเชีย
แมกเจลแลน เสนอแผนการที่จะค้นหาเส้นทางลัดไปยังทวีปเอเชียโดยอ้อมทางใต้ของโลกใหม่ (หรือทวีปอเมริกาใต้ในปัจจุบัน) ต่อกษัตริย์ชารลส์ที่หนึ่ง แห่งสเปน โดยเขาคาดการณ์ว่าเมื่อเดินทางอ้อมใต้โลกใหม่ไปแล้วเขาสามารถเดินทางไปถึงหมู่เกาะ เครื่องเทศได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่ถูกปฏิเสธจากพระเจ้ามานูแอล กษัตริย์โปรตุเกส แผนการเดินทางของเขากลับได้รับความสนใจจากกษัตริย์สเปน เนื่องจากในขณะนั้นโปรตุเกสกำลังควบคุมเส้นทางเดินเรือไปยังเอเชียผ่านทางทวีปแอฟริกา สเปนจึงต้องการเส้นทางไปยังเอเชียของตนเองด้วยเช่นกัน และกษัตริย์ชารลส์ที่หนึ่ง ได้มอบเรือจำนวน 5 ลำ ให้อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา คือ ไตรนิดาด (Trinidad) ซาน แอนโทนิโอ (San Antonio) คอนเซปซิออน (Concepcion) วิคตอเรีย (Victoria) และ ซานติเอโก (Santiago) พร้อมลูกเรือ ให้กับเขา โดยมีข้อแม้ว่าเขาต้องใช้ลูกเรือชาวสเปนเป็น ส่วนใหญ่ แม้ว่าเขาจะเป็นชาวโปรตุเกสก็ตาม
แมกเจลแลน ออกเดินทางจากสเปนในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ.1519 รัฐบาลสเปนไม่ค่อยจะไว้ใจเขาเท่าใดนักเนื่องจากพื้นเพสัญชาติของเขาที่เป็นชาวโปรตุเกสด้วยเหตุนี้จึงป้องกันด้วยการสับเปลี่ยนให้ลูกเรือบนเรือที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาให้เป็นชาวสเปนเกือบทั้งหมด แม้ว่าเขาจะจัดคนประมาณ 270 คน ก่อนออกเดินทาง ในตอนนั้นตั้งแต่บราซิลกลายเป็นอาณาจักรของโปรตุเกส แมกเจลแลน จึงต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ และวันที่ 13 ธันวาคม คณะเดินทางได้ทอดสมอใกล้กับเมือง ริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล ในปัจจุบัน และได้มีการหาเสบียงอาหารมาเพิ่มเติม แต่สภาวะอุปสรรคต่าง ๆ ก็เป็นสาเหตุให้พวกเขาเดินทางช้าลง หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินเรือไปทางใต้ตามชายฝั่งทางทิศตะวันออกของอเมริกาใต้ มุ่งไปทางช่องแคบซึ่งแมกเจลแลน เชื่อว่าจะนำไปสู่หมู่เกาะเครื่องเทศ และเหยียบเมืองริโอ เดอ ลา พลาทา เมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ.1520
เส้นทางของแมกเจลแลน ตัดผ่านช่องแคบทางใต้ของอเมริกาใต้ที่ติดต่อกับมหาสมุทรแอตแลนติก และมหาสมุทรแปซิฟิกเรือซานติเอโกที่ถูกส่งไปตามชายฝั่งเพื่อสอดแนมเส้นทางอับปางลงเพราะพายุ ลูกเรือทั้งหมดปลอดภัยและหยุดพักตามชายฝั่งก่อนที่จะออกเดินเรืออีกครั้ง และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ก็กองเรือก็ได้เดินทางมาถึง แหลมเวอร์จีนส์ และพวกเขาได้เจอเส้นทางเนื่องจากน้ำเป็นน้ำทะเลและเส้นทางลึกเข้าไปในแผ่นดิน เรือทั้งสี่ลำเริ่มเดินทางด้วยความยากลำบากตลอดระยะ 600 ก.ม. เนื่องจากเรือแล่นผ่านเส้นทางนี้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันทางศาสนาเพื่อระลึกถึงนักบุญทั้งหมด ปัจจุบันเส้นทางนี้เรียกว่า “ช่องแคบแมกเจลแลน”
ในตอนแรกแมกเจลแลน มอบหมายให้เรือคอนเซปซิออนและเรือซาน แอนโทนิโอ สำรวจช่องแคบ แต่ต่อมาภายหลังมีเรือลำหนึ่งละทิ้งหน้าที่นั้นแล้วให้กลับสเปนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน และเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน เหลือเรือเพียง 3 ลำที่เข้าสู่แปซิฟิกใต้ แมกเจลแลน ตั้งชื่อให้ว่า “มาร์ แปซิฟิโก” เนื่องจากเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่อีกแห่งที่คลื่นลมสงบมาก และ Pacific มาจากภาษาละตินแปลว่า “ความสงบ-สันติ”
แมกเจลแลน เป็นชาวยุโรปคนแรกที่มาถึงหมู่เกาะเตียรร์รา เดล ฟูเอล โก
การค้นหาเส้นทางผ่าน แผ่นดินใหญ่ และความหนาวเย็นของทะเลใกล้ขั้วโลกใต้ ทำให้แมกเจลแลน เสียเวลาจนถึงปลายปี ค.ศ.1520 กว่าจะผ่านช่องแคบแมกเจลแลน ออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิกการที่เขาใช้เวลาข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกนานกว่าที่ประมาณไว้มากทำให้ปริมาณอาหารและน้ำจืดไม่เพียงพอ ในระหว่างนี้ทำให้เขาต้องสูญเสียลูกเรือไปอีก 19 คน ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1521 แมกเจลแลน เดินทางมาถึง หมู่เกาะซึ่งเป็นประเทศฟิลิปปินส์ในปัจจุบัน ใช้เวลาข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งหมดกว่าสามเดือน
การเดินทางในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พิกาเฟตตา ผู้ติดสอยห้อยตาม แมกเจลแลน ได้บันทึกไว้ว่า
“วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน เราผ่านช่องแคบได้สำเร็จออกมาสู่มหาสมุทรที่เราตั้งชื่อให้ว่า แปซิฟิค แล้วเราก็แล่นเรื่อเข้าสู่ทะเลลึกเป็นเวลา 3 เดือน 20 วัน โดยไม่เห็นฝั่งและไม่มีเสบียงเพิ่มเติม...ขนมปังกรอบมันยุ่ยกลายเป็นฝุ่นไปหมดแถมเหม็นเยี่ยวหนูด้วย น้ำดื่มก็เหม็นเต็มทีเราต้องจำใจกินกันเข้าไป แต่ถึงอย่างไรเราก็จะไม่อดตายหรอกเพราะเรายังมีหนังสัตว์อีกมาก คือแผ่นหนังที่ใช้บุ่จุดสำคัญๆในเรื่อเช่นตรงที่จะถูกเชือกถูไถอยู่บ่อยๆเป็นต้น มันแข็งมากเพราะโดนแดดโดนน้ำมานาน ต้องเอาแช่น้ำทะเลตั้ง 4-5 วัน จึงอ่อน เราเอามาปิ้งกินกัน...อดหนักๆเข้าบางทีต้องกินขี้เลื่อย กินเนื้อหนูที่แสนจะขยะแขยง ไล่จับเอาในเรือนี่แหละที่ร้ายกาจก็คือหลายคนเป็นโรคเหงือกบวม บวมมากขนาดเคี้ยวอาหารไม่ได้ ลูกเรือ 19 คนต้องตายไปเพราะโรคนี้”
“6 มีนาคม 1521 ก็ตุปัดตุเป๋ไปถึงเกาะกวมแบบเกือบจะหมดแรงพักฟื้นอยู่ 10 วัน ได้เสบียงและน้ำจืดแล้วต้องรีบเผ่น เพราะที่นี่ขโมยชุมยิ่งกว่ายุง แมกเจลแลน ตั้งชื่อให้ว่า เกาะขโมย โต้คลื่นไปไม่นานก็ถึงเกาะซามาร์จองฟิลิปปินส์ พบชาวบ้านมีเครื่องเทศไว้กินกันเยอะแยะ จากนั้นก็เดินทางไปถึงเกาะซีบู ของฟิลิปปินส์ เคราะห์หามยามร้ายเกิดขึ้นที่นี่คือ แมกเจลแลน เกิดไปตกปากรับคำช่วยกษัตริย์ แห่งซีบู ปราบเกาะมาตันที่ทำกำแหงหาญแต่เขาเกิดพลาดท่าเสียทีโดนอาวุธจนต้องเสียชีวิตไปเมื่อ 27 เมษายน 1521”
เมื่อถึงฟิลิปปินส์ เขาได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่างคน พื้นเมือง โดยวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 1520 กองเรือสเปนได้รับการต้อนรับจากชาวพื้นเมืองอย่างดี แต่ในระหว่างนั้นกำลังมีสงครามอยู่กับเมืองลาปูลาปู (Lapu-Lapu City) แมกเจลแลนและลูกเรือจึงอาสาเข้าไปช่วยเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ จนถูกชาวมัคตานซึ่งเป็นชนพื้นเมืองสังหารในที่สุด
นับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ทันได้ถึงหมู่เกาะเครื่องเทศ แต่เขาก็ได้พิสูจน์ว่าโลกกลมได้สำเร็จ และสเปนก็ได้รับสิ่งตอบแทนจากเขาเป็นดินแดนต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งฟิลิปปินส์ด้วย ลูกเรือที่เหลืออยู่ จึงเดินทางต่อไปตามเกาะแก่งต่างๆพบว่ามีเครื่องเทศมากมาย บางอย่างก็ขึ้นเองอยู่ในป่า ซึ่งพิกาเฟตตาได้บันทึกไว้ว่ามีทั้งต้นจันทน์เทศ ขิง อบเชย และอื่นๆอีกมากมายจนนับไม่ถ้วน
จากนั้นลูกเรือสเปนที่เหลือก็ได้ออกเดินทางกลับสเปนนับเป็นการเดินทางรอบโลกครั้งแรก ภายหลังได้มีการสร้างอนุสาวรีย์บริเวณจุดที่แมกเจลแลน เสียชีวิตที่เมืองลาปูลาปู จังหวัดเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ และตั้งชื่อ ช่องแคบแมกเจลแลน (Straits of Magellan) ซึ่งอยู่ระหว่างปลายสุดแผ่นดินใหญ่อเมริกาใต้กับหมู่เกาะเตียรร์รา เดล ฟูเอล โก (Tierra del Fuego) ประเทศชิลี นอกจากนั้นยังนำไปใช้ตั้งชื่อหมู่กาแล็กซีเล็ก ๆ ที่เห็นบนท้องฟ้าแถบใต้ยามค่ำคืน ตามที่เขาได้สังเกตเห็นและบันทึกเอาไว้เป็นคนแรก ชื่อว่า เมฆแมกเจลแลน (Magellanic Clouds)
ถึงแม้จะเสียผู้นำใหญ่ไป เมื่อลูกเรือทั้งหมดก็รู้ว่าตนได้เดินทางมาถึงเอเชียแล้ว จึงได้เดินทางต่อไปยังหมู่เกาะเครื่องเทศ หรืออินโดนีเซียในปัจจุบัน ก่อนที่จะกลับสเปนตามแผนเดิมของแมกเจลแลน ด้วยลูกเรือที่เหลืออยู่ 115 คน กับเรือ 2 ลำ เนื่องจากเรือลำที่สามถูกเผาทิ้งเพราะจำนวนคนไม่พอที่จะเดินเรือทั้งสามลำ
เมื่อเรือทั้งสองลำซื้อกานพลูเต็มลำดีแล้วก็ออกเดินทาง 11 ธันวาคม ค.ศ.1521 เพื่อกลับสเปนแต่เรื่อที่ชื่อ ทรินิแดด เกิดรั่ว ต้องจูงเข้าฝั่งขนเครื่องเทศขึ้นกันโกลาหล จัดการซ่อมกันอยู่พักใหญ่ก็ไม่สำเร็จเรือวิคตอเรียที่เหลือเป็นลำสุดท้ายต้องขนเครื่องเทศออกบ้างเพราะกลัวจะไปจมกลางทาง เดลคาโน เป็นกัปตัน พิกาเฟตตา มากับลำนี้ด้วย 6 พฤษภาคม ค.ศ.1522 อ้อมแหลมกู๊ดโฮปได้ ลูกเรืออดอยากกันมาก อากาศก็เลวร้าย ทะเลปั่นป่วนลูกเรือตายไป 21 คน ไปถึงเกาะ เวอร์ดี ของปอร์ตุเกส กัปตันคาโนยอมเสี่ยงขึ้นไปหาเสบียง แต่ไม่นานนักทหารโปรตุเกสก็จับได้ว่าเป็นพวกสเปน ลูกเรือเลยโดนจับไป 13 คน คาโน รีบพาเรือวิคตอเรียหนีไปได้ทัน จนถึงสเปนเมื่อ 8 กันยายน ค.ศ.1522 ลูกเรือ 60 คนเหลืออยู่เพียง 18 คนเท่านั้น รวมเวลาเดินทางทั้งสิ้นเกือบ 3 ปี
แม้แมกเจลแลนจะต้องเสียชีวิตไปก่อนที่จะถึงหมู่เกาะเครื่องเทศ แต่การเดินเรือของเขาในครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เพราะสามารถพิสูจน์ให้คนทั้งโลกได้เห็นว่าโลกของเรานั้นมีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ความยิ่งใหญ่ของเขานั้นถูกบันทึกไว้โดยผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้ พิกาเฟตตาได้บันทึกถึงการสูญเสียในครั้งนี้เอาไว้ว่า “เราได้สูญเสียผู้นำที่เป็นทั้งแสงสว่าง และผู้สนับสนุนพวกเราไป แต่ความยิ่งใหญ่ของนาม แมกเจลแลน จะยังคงทำให้แมกเจลแลน มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไม่ดับสูญ”
วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557
Nelson Mandela
เนลสัน โรลีลาลา แมนเดลา (กโฮซา: Nelson Rolihlahla Mandela, [xoˈliɬaɬa manˈdeːla]) เกิดวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2461 ที่ดินแดนปกครองตนเองทรานสไก ประเทศแอฟริกาใต้[1] ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในช่วงปี พ.ศ. 2537-2542 และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งตามกระบวนการทางประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง ก่อนหน้าการดำรงตำแหน่งนี้นี้ เขาได้เป็นที่รู้จักกันทั้งในและนอกประเทศในฐานะที่เคยเป็นนักเคลื่อนไหวตัวยงเพื่อต่อต้านการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ จากที่แรกเริ่มเป็นผู้เคลื่อนไหวในทางสันติ ได้กลายมาเป็นผู้นำกลุ่มกองกำลังติดอาวุธของพรรคสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา และได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่อต้านใต้ดินโดยใช้อาวุธ เช่น การก่อวินาศกรรม ในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้นำต่างชาติที่นิยมการถือผิวในประเทศแอฟริกาใต้ เช่น มาร์กาเรต แทตเชอร์ และโรนัลด์ เรแกน ได้ประณามกิจกรรมเหล่านี้ว่าเป็นการก่อการร้าย
เขาถูกจำคุกเป็นเวลาทั้งสิ้น 27 ปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการถูกคุมขังในห้องขังเล็ก ๆ บนเกาะโรบเบิน การถูกคุมขังนี้ได้กลายมาเป็นกรณีตัวอย่างของความอยุติธรรมของนโยบายการถือผิวที่ถูกกล่าวถึงไปทั่ว เมื่อเขาได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2533 นโยบายประสานไมตรีที่เนลสันได้นำมาใช้ทำให้แอฟริกาใต้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่แห่งประชาธิปไตย เป็นที่ยกย่องอย่างสูงภายในประเทศแอฟริกาใต้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส ชาวแอฟริกันขนานนามสมาชิกชายอาวุโสของตระกูลแมนเดลาอย่างให้เกียรติว่า มาดิบา แต่มักเจาะจงหมายถึงเนลสัน แมนเดลาเท่านั้น เนลสัน แมนเดลา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556 ที่บ้านของเขาในโจฮันเนสเบิร์ก หลังจากเจ็บป่วยมาเป็นเวลานาน
เขาได้รับรางวัลต่าง ๆ มากกว่า 250 รางวัลตลอดช่วงเวลา 4 ทศวรรษ รางวัลที่สำคัญที่สุดคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ประจำปี พ.ศ. 2536
Vasco da gama
วาชโกดา กามา (โปรตุเกส: Vasco da Gama; ประมาณ พ.ศ. 2003-2068) ตามการออกเสียงในภาษาอังกฤษ เป็นนักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกส เกิดที่เมืองซีนิช แคว้นอาเลงเตชู ประเทศโปรตุเกส สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้บพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียระหว่างปี พ.ศ. 2040-42 โดยแล่นเรือตรงจากกรุงลิสบอน ไปถึงชายฝั่งมะละบาร์ ตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดีย โดยแล่นเรืออ้อมผ่านแหลมกู๊ดโฮป ทางตอนใต้ของแอฟริกาซึ่งบาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เป็นผู้ค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2031
วัชกู ดา กามา ได้รับมอบหมายจากกษัตริย์มานูเอล ที่ 1 แห่งโปรตุเกสให้ไปค้นหาอินเดียที่เชื่อกันในสมัยนั้นว่าเป็นแผ่นดินคริสเตียนที่เล่าลือแพร่หลายเกี่ยวกับ เปรสเตอร์ จอห์น พระคริสเตียนแห่งอินเดียผู้ครอบครองนคร 100 แห่งในโลกตะวันออก รวมทั้งเพื่อการหาลู่ทางเปิดตลาดค้าขายกับโลกตะวันออก
ต่อมา อีกครั้งหนึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2045-2047 วัชกู ดา กามา ได้นำกองเรือมุ่งสู่กาลิกัต (Calicat) เพื่อล้างแค้นจากการที่กลุ่มนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่เปดรู อัลวาริช กาบราล (นักสำรวจสำคัญของโปรตุเกส) ปล่อยไว้ที่นั่นถูกฆ่า ในปี พ.ศ. 2067 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปราชแห่งอินเดีย แต่ต่อมาไม่นาน วัชกู ดา กามา ก็ล้มป่วยและเสียชีวิตที่โคชิน (Cochin) และได้รับการนำศพกลับโปรตุเกส
วัชกู ดา กามา มีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยาตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช)
วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
Louis Vuitton
Louis Vuitton Malletier โดยปกติแล้วพวกเราจะเรียกว่า 'หลุยส์ วิตตอง' แต่บางคนก็เรียกอย่างสั้นๆ ว่า แอลวี (LV) หลุยส์ วิตตองเป็นแบรนด์ที่กำเนิดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1854 โดยหลุยส์ วิตตอง มัลเลเทียร์ ตอนนี้แบรนด์หลุยส์ วิตตองได้เป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่คนทั่วโลกรู้จัก สินค้าที่แบรนด์นี้จำหน่ายได้แก่ หีบห่อบรรจุเสื้อผ้า กระเป๋าสะพาย กระเป๋าถือ เสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา และเครื่องประดับ
การกำเนิดแบรนด์ของหลุยส์ วิตตองได้กำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1854 ในปารีส ณ ฝรั่งเศส ในขณะเดียวกันหลุยส์วิตตองเป็นแบรนด์ที่จัดว่าแบรนด์เก่าแก่หนึ่งแบรนด์ คู่แข่งต่าง ๆ ของ หลุยส์ วิตตอง ตอนนี้ก็จะได้แก่ เวอร์ซาเช่, แอร์เมส, ดัลเช่แอนด์กับบาน่า, กุชชี่, เบอเบอร์รี่, ดิออร์, ชาแนล, เฟนดิ, อาร์มานี่, พราด้า
บริษัทที่ได้ดูแลและครอบครองหลุยส์ วิตตองในตอนนี้ก็คือ LVMH และดีไซน์เนอร์คนปัจจุบันของหลุยส์ วิตตองก็คือ Marc Jacobs
การกำเนิดแบรนด์ของหลุยส์ วิตตองได้กำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1854 ในปารีส ณ ฝรั่งเศส ในขณะเดียวกันหลุยส์วิตตองเป็นแบรนด์ที่จัดว่าแบรนด์เก่าแก่หนึ่งแบรนด์ คู่แข่งต่าง ๆ ของ หลุยส์ วิตตอง ตอนนี้ก็จะได้แก่ เวอร์ซาเช่, แอร์เมส, ดัลเช่แอนด์กับบาน่า, กุชชี่, เบอเบอร์รี่, ดิออร์, ชาแนล, เฟนดิ, อาร์มานี่, พราด้า
บริษัทที่ได้ดูแลและครอบครองหลุยส์ วิตตองในตอนนี้ก็คือ LVMH และดีไซน์เนอร์คนปัจจุบันของหลุยส์ วิตตองก็คือ Marc Jacobs





สำนวนฝั่งเศส น่ารู้ น่าเรียน
1.« Chercher midi à quatorze heures. » : Compliquer inutilement une chose très simple. [ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากโดยไร้ประโยชน์]
2.« C'est de la daube ! » : C'est un objet ou un spectacle de mauvaise qualité, bon à jeter. [สิ่งของ หรือ การแสดงที่ไม่ดี ของที่ควรทิ้งไป]
3« C'est bath. » : C'est beau. (ou bon, joli, bien, remarquable, agréable) ! [เยี่ยม, วิเศษ, แจ่ม, แจ๋ว]
4.« Coller aux basques. » : Suivre quelqu'un de très près, ne pas le lâcher d'une semelle. [ตามติด(ใคร) แบบไม่ละฝีก้าว]
5.« Crier (gueuler) comme un putois. » : Protester de manière criarde. [ตะโกนคัดค้าน หรือส่งเสียงดังแสบหู หรือ เสียงแปร๋น]
6.« C'est plus fort que de jouer au bouchon. » : C'est incroyable, très surprenant. [เหลือเชื่อ, น่าแปลกใจอย่างยิ่ง]
7.« C'est fort de café ! » : C'est exagéré, excessif, insupportable. [มากเกินไป, หนักเกินไป, ทนไม่ไหว]
8.« Ce n'est pas une sinécure ! » : Ce n'est pas une situation, un emploi, quelque chose de facile ou de tout repos. / Ce n'est pas une mince affaire. [ไม่ใช่เรื่องจิ๊บจ๊อยเลย, ไม่ใช่เรื่องหมูๆ หรือ กล้วยๆเลย, ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย]
9.« Cela va faire du bruit dans Landerneau. » : C'est une affaire qui va faire beaucoup de bruit. / C'est un petit fait qui va provoquer beaucoup de commérages. [เรื่องหรือเหตุ (ซึ่งอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย) ที่จะดังไปทั่ว(รู้กันไปทั่ว) หรือก่อให้เกิดการซุบซิบนินทากันมาก]
2.« C'est de la daube ! » : C'est un objet ou un spectacle de mauvaise qualité, bon à jeter. [สิ่งของ หรือ การแสดงที่ไม่ดี ของที่ควรทิ้งไป]
3« C'est bath. » : C'est beau. (ou bon, joli, bien, remarquable, agréable) ! [เยี่ยม, วิเศษ, แจ่ม, แจ๋ว]
4.« Coller aux basques. » : Suivre quelqu'un de très près, ne pas le lâcher d'une semelle. [ตามติด(ใคร) แบบไม่ละฝีก้าว]
5.« Crier (gueuler) comme un putois. » : Protester de manière criarde. [ตะโกนคัดค้าน หรือส่งเสียงดังแสบหู หรือ เสียงแปร๋น]
6.« C'est plus fort que de jouer au bouchon. » : C'est incroyable, très surprenant. [เหลือเชื่อ, น่าแปลกใจอย่างยิ่ง]
7.« C'est fort de café ! » : C'est exagéré, excessif, insupportable. [มากเกินไป, หนักเกินไป, ทนไม่ไหว]
8.« Ce n'est pas une sinécure ! » : Ce n'est pas une situation, un emploi, quelque chose de facile ou de tout repos. / Ce n'est pas une mince affaire. [ไม่ใช่เรื่องจิ๊บจ๊อยเลย, ไม่ใช่เรื่องหมูๆ หรือ กล้วยๆเลย, ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย]
9.« Cela va faire du bruit dans Landerneau. » : C'est une affaire qui va faire beaucoup de bruit. / C'est un petit fait qui va provoquer beaucoup de commérages. [เรื่องหรือเหตุ (ซึ่งอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย) ที่จะดังไปทั่ว(รู้กันไปทั่ว) หรือก่อให้เกิดการซุบซิบนินทากันมาก]
12 เทคนิคการทำ “ERROR IDENTIFICATION”
12 เทคนิคการทำ “Error Identification”
ความผิดพลาดเรื่องรูปคำกริยา (verb form) อาจเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1.1 Tenses คือการแสดงเวลาของการกระทำ ในภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 12 Tense
1.2 Subjects – verb agreement การใช้คำกริยา ประธานและกริยาต้องสอดคล้องกัน เช่น Jane lives in China.
1.3 Finite ornon-finite verb กริยาแท้และกริยาช่วยของประโยค
1.4 ใช้voice ผิด ได้แก่
Active Voice หมายถึง รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำหรือแสดงกริยานั้น โดยตรง
Passive Voice หมายถึง รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น
1.5 ใช้คำกริยาผิดรูป เช่นใช้รูป v.2 แทน v.3 หรือในทางกลับกัน
1.2 Subjects – verb agreement การใช้คำกริยา ประธานและกริยาต้องสอดคล้องกัน เช่น Jane lives in China.
1.3 Finite ornon-finite verb กริยาแท้และกริยาช่วยของประโยค
1.4 ใช้voice ผิด ได้แก่
Active Voice หมายถึง รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้กระทำหรือแสดงกริยานั้น โดยตรง
Passive Voice หมายถึง รูปกริยาซึ่งประธานเป็นผู้ถูกกระทำกริยานั้นโดยผู้อื่น
1.5 ใช้คำกริยาผิดรูป เช่นใช้รูป v.2 แทน v.3 หรือในทางกลับกัน
Examples :
1. Evidenceofthismay besawin theterrifyingfigures of family decomposition.
คำตอบที่ถูกคือ saw ต้องแก้เป็น seen เพราะ v.be+v.3 หรือ v.ing
2. One Sunday morning, a ministerwas toldcongregationthattheir church wasbadlyin need ofrepairs.
คำตอบที่ถูกคือ was told ต้องแก้เป็น active verb คือ told
รูปคำ (word form) เป็นเรื่องที่ออกข้อสอบเป็นประจำอีกเรื่องหนึ่งความผิดพลาดทางไวยกรณ์ ที่นำมาทดสอบ จะเป็นเรื่อง การใช้ part of speech ผิดที่หรือผิดชนิด กล่าวคือใช้ adjective แทนที่ adverb, ใช้ noun แทนที่ verb เป็นต้น ซึ่งคำที่ถูกและคำที่ผิดนั้นจะมาจากรากศัพท์ คำเดียวกัน
ตัวอย่าง คำที่มาจากรากเดียวกันแต่ต่างกันที่ word form คือ beauty (n.),beautiful (adj.), beautifully (adv.). หรือ long (adj.),lengthen (v.), length(n.) หรือ compare (v.), comparable (adj.), comparison (n.) ฯลฯ
Example :
1. Ina recorddive in his bathysphere, William Beebe was thefirst personto explorethe ocean at adeepof 3,028 feet.
คำตอบคือ a deep ต้องแก้ word form จาก a deep (adj.) เป็น a depth (n.) เพราะคำที่ตามหลัง preposition (ในที่นี้คือ at ) ต้องเป็นคำนาม
2. Psychologists generallyagreementthat acertainstimulus mustbe presenteach time a habitual action iscarried out.
คำตอบคือ agreement เพราะใน clause แรกนี้ยังขาดกริยา ดังนั้นจึงต้องแก้เป็น agree
*ตัวช่วยที่จะทำให้รู้ว่า choice แต่ละข้อเป็นคำชนิดใด ให้ดูที่
1. ตำแหน่งหรือหน้าที่ของคำๆนั้นในประโยค
2. ส่วนลงท้ายของคำ (suffix)
2. ส่วนลงท้ายของคำ (suffix)
การเลือกใช้คำ (word choice) เป็นหัวข้อที่นิยมออกข้อสอบมากเรื่องหนึ่ง ประเด็นของความผิดพลาดเรื่องนี้ มักจะเป็นการใช้คำๆ หนึ่งแทนที่จะใช้อีกคำหนึ่งซึ่งถูกไวยากรณ์
Example :
1. One of London’smostbeautifulparksisHyde Parknearlythe Thames river.
คำตอบที่ถูกต้องคือ nearly ต้องแก้เป็น near
2. Modernpeople,aliketheir ancestors, are curiousaboutthenatureof the universe.
คำตอบที่ถูกต้องคือ alike ต้องแก้เป็น like
3. In muchof Alaska, thegrowingseason issuchshortthatcropscannot be raised.
คำตอบคือ such ต้องแก้เป็น so (so + adj. + that clause)
4. Evenduringeconomicbooms,there isa smallnumberof unemployment.
คำตอบ ต้องเปลี่ยน number เป็น amount เพราะใช้กับคำนามนับไม่ได้คือ unemployment
ประเด็นของความผิดพลาดทางไวยกรณ์ในเรื่อง Parallellism คือ ใช้คำผิดชนิดหรือโครงสร้าง จากสมาชิกอื่นๆในกลุ่มของมัน
Example:
1. Lumber from redwoodsis in great demandbecauseof itsstraight grain,attractivecolor, anddurable.
คำตอบที่ต้องการคือ durable ต้องแก้เป็น durability เนื่องจากคำในกลุ่มนี้เป็นคำนามทั้งหมด
2. Thebestwork is not alwaysdonebythose who workthefaster.
คำตอบที่ถูกต้องคือ faster ต้องแก้เป็น fastest สังเกตคำที่มาข้างหน้าคือ the best
3. Direct mail advertising servesto acquaintcustomers with product,alertthemto new opportunities, andpavingthe way forothersalesactivities.
คำตอบคือ paving เพราะใช้คำผิดโครงสร้างจากสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งเป็น infinite ทั้งหมด (to acquaint และ alert) สังเกตดูคำ alert
เป็น simple form ดังนั้นถ้าจะแก้ให้ถูกต้อง ต้องแก้ paving เป็น pave ซึ่งอยู่ในรูป simple form เช่นเดียวกัน
เป็น simple form ดังนั้นถ้าจะแก้ให้ถูกต้อง ต้องแก้ paving เป็น pave ซึ่งอยู่ในรูป simple form เช่นเดียวกัน
ตัวเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งแสดงความผิดพลาดในเรื่องของ conjunction อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้ correlative ผิดคู่ เช่น not only ……. But, both …….and,neither……nor, either …….or เป็นต้น
2. ใช้ conjunction ผิดตัว เช่น ใช้ who ในที่ที่ควรใช้ which, ใช้ and เชื่อมข้อความที่มีความหมายขัดแย้งกัน ใช้ but กับข้อความ ที่คล้อยตามกัน เป็นต้น
3. ใช้ preposition เช่น ใช้ during ในที่ที่ควรใช้ when, ใช้ because of แทน because เป็นต้น
2. ใช้ conjunction ผิดตัว เช่น ใช้ who ในที่ที่ควรใช้ which, ใช้ and เชื่อมข้อความที่มีความหมายขัดแย้งกัน ใช้ but กับข้อความ ที่คล้อยตามกัน เป็นต้น
3. ใช้ preposition เช่น ใช้ during ในที่ที่ควรใช้ when, ใช้ because of แทน because เป็นต้น
Examples:
1. Inall this, both the United States,onone side,orSoviet Russia, on the otheraredeeply involved.
คำตอบที่ถูกต้องคือ or ต้องแก้เป็น and เพราะตัวข้างหน้า คือ both
2. Making sequences of symbols thatarenot significant butrigolouslylogicalisfar more difficultwithit sounds.
คำตอบที่ถูกต้องคือ with ต้องแก้ preposition with เป็น conjunctionthan ซึ่งแสดงการเปรียบเทียบขั้นกว่า
อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้นามรูปเอกพจน์หลังคำต่อไปนี้คือ a couple (of), (a) few, anumber of, both, many, several, each of, one of, all (กับ นามนับได้), some (กับนามนับไม่ได้), these, those, etc. (นั่นแสดงว่าหลังคำที่กล่าวมาต้องใช้รูปพหูพจน์ จึงจะถูก)
2. ใช้นามพหูพจน์หลังคำต่อไปนี้ คือ a, an, amount of, ZaXlitt;e, a single,each, every, much, one, this, that, etc. (นั่น แสดงว่าหลังคำที่กล่าวมาต้องใช้รูปเอกพจน์จึงจะถูกต้อง)
3. นามนับไม่ได้ นามที่มีแต่รูปเอกพจน์ หรือนามที่มีรูปพหูพจน์พิเศษ นำมาเติม s เพื่อแสดงพหูพจน์ เช่น informations, furniture, golds, deers, teeths, childs,etc. (ต้องแก้โดยการ ตัด s ทิ้งทุกคำ และเปลี่ยน childsเป็น children)
4. ใช้รูปพหูพจน์ของนามประสม (compound noun) แบบผิดๆ เช่น detectives stories,toys stores, car races, three two- months courses, etc. (แนวคิดที่ถูกคือ คำนามตัวแรกทำหน้าที่ adjective จึงไม่มีรูปพหูพจน์อีกต่อไป เพราะไม่ใช่คำนาม ดังนั้นใน กรณีนี้เราต้องใช้รูปเอกพจน์กับนามตัวแรกทั้งหมด ดังนี้ detectivestories, toy stores, car races, three two-month
courses)
5. ใช้คำบอกจำนวนที่ควรเป็นพหูพจน์ในรูปเอกพจน์ เช่น hundred of, thousand of,million of (แนวคิดที่ถูกต้องในเรื่องนี้คือ คำบอก จำนวนที่ตามด้วย of จะเป็นคำนามพหูพจน์เสมอ ดังนั้นต้องแก้คำบอกจำนวนที่กล่าวมาเป็น hundreds of,thousands of, millions of ส่วนคำบอกจำนวนที่ ไม่ได้ตามด้วย of จะเป็น adjective จึงไม่มีรูปพหูพจน์เด็ดขาด เช่น three thousand men สังเกตให้ดีจะ เห็นว่า thousand ไม่ตามด้วย of จึงไม่มีการเติม s)
2. ใช้นามพหูพจน์หลังคำต่อไปนี้ คือ a, an, amount of, ZaXlitt;e, a single,each, every, much, one, this, that, etc. (นั่น แสดงว่าหลังคำที่กล่าวมาต้องใช้รูปเอกพจน์จึงจะถูกต้อง)
3. นามนับไม่ได้ นามที่มีแต่รูปเอกพจน์ หรือนามที่มีรูปพหูพจน์พิเศษ นำมาเติม s เพื่อแสดงพหูพจน์ เช่น informations, furniture, golds, deers, teeths, childs,etc. (ต้องแก้โดยการ ตัด s ทิ้งทุกคำ และเปลี่ยน childsเป็น children)
4. ใช้รูปพหูพจน์ของนามประสม (compound noun) แบบผิดๆ เช่น detectives stories,toys stores, car races, three two- months courses, etc. (แนวคิดที่ถูกคือ คำนามตัวแรกทำหน้าที่ adjective จึงไม่มีรูปพหูพจน์อีกต่อไป เพราะไม่ใช่คำนาม ดังนั้นใน กรณีนี้เราต้องใช้รูปเอกพจน์กับนามตัวแรกทั้งหมด ดังนี้ detectivestories, toy stores, car races, three two-month
courses)
5. ใช้คำบอกจำนวนที่ควรเป็นพหูพจน์ในรูปเอกพจน์ เช่น hundred of, thousand of,million of (แนวคิดที่ถูกต้องในเรื่องนี้คือ คำบอก จำนวนที่ตามด้วย of จะเป็นคำนามพหูพจน์เสมอ ดังนั้นต้องแก้คำบอกจำนวนที่กล่าวมาเป็น hundreds of,thousands of, millions of ส่วนคำบอกจำนวนที่ ไม่ได้ตามด้วย of จะเป็น adjective จึงไม่มีรูปพหูพจน์เด็ดขาด เช่น three thousand men สังเกตให้ดีจะ เห็นว่า thousand ไม่ตามด้วย of จึงไม่มีการเติม s)
Examples :
1. At onetimemanypersonbelievedthat some forkedtwigs had supernaturalpowers.
คำตอบที่ถูกต้องคือ person หลังคำ many ตามด้วยนามพหูพจน์ จึงต้องแก้เป็น persons
2. Hundredof antibioticshave beendeveloped, butonlyabout 30 arein common use today.
คำตอบที่ถูกคือ Hundred ต้องแก้เป็น Hundreds
3. Doctorare discovering that there is astrongpsychologicalcomponent tochronicpain.
คำตอบที่ถูกคือ Doctor ต้องแก้เป็น Doctors สังเกตกริยาเป็นพหูพจน์คือ are
ประเด็นเรื่อง ความผิดพลาดในการใช้ pronoun อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ความไม่สอดคล้องกันของคำนามและสรรพนาม
(จากทฤษฎี pronoun จะต้องมีคุณสมบัติเหมือน noun ที่อ้างถึงทุกประการ ถ้า noun เป็นเพศหญิง pronoun หรือ possessive adjective ที่แทนก็ต้องแสดงเพศหญิง ถ้าnoun เป็นเพศชาย pronoun หรือ possessive adjective ที่แทนก้ต้องเป็นเพศชาย เป็นต้น)
The girl has lost his keys in the pub. (แก้ his เป็น her)
Those menplanned to start his project on Monday. (แก้ his เป็น their)
Those menplanned to start his project on Monday. (แก้ his เป็น their)
2. ใช้รูป pronoun ผิดหน้าที่ กล่าวคือ ใช้รูปประธานแทนรูปกรรม เช่น ใช้ she แทน her, whom แทน who หรือใช้ possessive
pronoun theirs แทนที่จะใช้ possessive adjective their หรือในทางกลับกัน
3. ใช้ pronoun โดยไม่จำเป็น กล่าวคือมีประธานอยู่แล้วยังใช้ pronoun เป็นประธานซ้ำซ้อนอีก
pronoun theirs แทนที่จะใช้ possessive adjective their หรือในทางกลับกัน
3. ใช้ pronoun โดยไม่จำเป็น กล่าวคือมีประธานอยู่แล้วยังใช้ pronoun เป็นประธานซ้ำซ้อนอีก
Examples :
1. Charlie,whomwentout with Mr. Lee’s daughter lastnight, wasthe onlyheirofthe millionaire.
ตอบ whomต้องเปลี่ยน whom เป็น who เพราะสิ่งที่จามมาคือกริยา went ดังนั้นจึงต้องใช้ relative pronoun รูปประธาน
2. Almostall thereservedwaterwhichwasusedduring the summer.
ตอบ which ต้องตัด relative pronoun which ทิ้งไป เพราะประโยคนี้มีประธานอยู่แล้ว คือ the reserved water
3. The teacher wasjustlyannoyedbyhimwalking in lateanddisturbing the class.
คำตอบที่ถูกคือ him ต้องแก้เป็น his (adj.) เพื่อขยายคำนาม walking
ตัวเลือกที่ถูกต้อง ซึ่งแสดงความผิดพลาดในเรื่องของ comparison อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้รูปเปรียบเทียบขั้นกว่า (comparative) แทนขั้นที่สุด (superlative)
2. ใช้รูปเปรียบเทียบที่ผิดกฎ
1. ใช้รูปเปรียบเทียบขั้นกว่า (comparative) แทนขั้นที่สุด (superlative)
2. ใช้รูปเปรียบเทียบที่ผิดกฎ
Examples :
1. Whensalmon in Washington State’s Puget Sound regionswimupriverto spawn, the Skagit River hosts thebiggerofall the runs.
คำตอบที่ถูกต้องคือ bigger ต้องแก้เป็น biggest เพราะมี the นำหน้าและ of all the runs แสดงการเปรียบเทียบที่เกกินจำนวนสอง
นั่นคือการเปรียบเทียบขั้นที่สุด
นั่นคือการเปรียบเทียบขั้นที่สุด
2. Hydrocarbon,toowell asmanyother organiccompounds,frequentlyform polymers.
คำตอบที่ถูกต้องคือ too ต้องแก้เป็น as ตามกฎระเบียบเปรียบเทียบที่เท่ากันใช้รูป as + adjective หรือ adverb + as
3. Natural micaofasuperiorquality ischeapesttoobtain than synthetic mica.
คำตอบที่ถูกต้องคือ cheapest จะเห็นคำว่า than อยู่ในประโยคนี้ ดังนั้นต้องมีการเปรียบเทียบขั้นกว่าแน่นอน ฉะนั้น cheapest จึงใช้ไวยกรณ์ผิดพลาด ควรแก้เป็น cheaper
สำหรับข้อสอบ Error Identification ที่เช็คไวยกรณ์เรื่อง article นั้น ตัวเลือกที่มีความผิดพลาดทางไวยกรณ์ อาจมีลักษณะใด
ลักษณะหนึ่ง ดังนี้
ลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใช้ article a หน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ เช่น a hour, a heir, aaunt, etc. (ต้องแก้เป็น anทั้งหมด)
2. ใช้ article an นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ เช่น an university, an unanimous decision, anhuman, etc. (ต้องแก้เป็น a ทั้งหมด)
3. ใช้ article ผิดชนิด กล่าวคือใช้ indefinite article (a,an) แทน definite article (the) หรือในทางกลับกัน
4. ใช้ article ในปริบทที่ไม่ควรใช้ หรือในที่ที่ควรใช้แต่ไม่ใช้ เช่น
Humans need the water. (ตัด the ทิ้ง เพราะกล่าวถึงนามนับไม่ได้ที่ไม่ชี้เฉพาะ ไม่ต้องมี article นำหน้า)
She likesto play violin. (ต้องใส่ the หน้าชื่อเครื่องดนตรี จึงต้องแก้เป็น the violin)
2. ใช้ article an นำหน้าคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ เช่น an university, an unanimous decision, anhuman, etc. (ต้องแก้เป็น a ทั้งหมด)
3. ใช้ article ผิดชนิด กล่าวคือใช้ indefinite article (a,an) แทน definite article (the) หรือในทางกลับกัน
4. ใช้ article ในปริบทที่ไม่ควรใช้ หรือในที่ที่ควรใช้แต่ไม่ใช้ เช่น
Humans need the water. (ตัด the ทิ้ง เพราะกล่าวถึงนามนับไม่ได้ที่ไม่ชี้เฉพาะ ไม่ต้องมี article นำหน้า)
She likesto play violin. (ต้องใส่ the หน้าชื่อเครื่องดนตรี จึงต้องแก้เป็น the violin)
Eamples :
1. Longevityreferstothe spanoflife ofaorganism.
คำตอบที่ถูกต้องคือ a ถ้าจะให้ถูกไวยกรณ์ต้องแก้เป็น an เพื่อนำหน้าคำนามเสียงสระคือ organism
2. At endof the Civil War, the United Statewas readytoresume witharoaring surge the westward expansion which had beeninterruptedforfour years.
คำตอบที่ถูกต้องคือ At end ต้องแก้เป็น At the end เพราะเป็นการชี้เฉพาะ
ประเด็นของ ความผิดพลาดเรื่องกริยาไม่แท้ (Verbal or non-finite verb) อาจเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งดังต่อไปนี้
1. ใช้ infinite แทนที่จะใช้ gerund หรือในทางกลับกัน
2. ใช้ present participle (v.-ing) แทนที่จะใช้ past participle (v.3) หรือในทางกลับกัน
3. ใช้รูป verbal แบบผิดๆ เช่น to introducing, towalking
4. ใช้ infinite หรือ gerund หลังคำกริยา (can, may, must,will. Etc.)เช่น can to go
2. ใช้ present participle (v.-ing) แทนที่จะใช้ past participle (v.3) หรือในทางกลับกัน
3. ใช้รูป verbal แบบผิดๆ เช่น to introducing, towalking
4. ใช้ infinite หรือ gerund หลังคำกริยา (can, may, must,will. Etc.)เช่น can to go
Examples :
1. People complain that thecostsof campaigningaresohighthat only the rich can affordrunningfor office.
หลัง v. affordต้องตามด้วย infinite ดังนั้นคำตอบคือ running ซึ่งต้องแก้เป็น to run
2. The Bachelor Club,establishingin 1950,wasthe firstsportscenterforFrench bachelors in Florida.
คำตอบคือ establishing ต้องแก้เป็น established (v.3)
*NOTE :
1. Verbal ที่ตามหลัง preposition ต้องเป็น gerund (v-ing) เช่น without smiling
2. กรณี กริยาต้องการกรรม (transitive verb) มีรูป participle ให้เลือก 2 รูป จะใช้รูป present participle (v-ing) หรือ past
participle (v.3) ให้ดูคำที่ตามมา
• ถ้าตามด้วย by หรือ prepositionalphrase จะใช้ v.3 เช่น the bridge built by …….. established in 1950, etc.
• ถ้าตามด้วย noun จะใช้ v-ingเช่น building the house
1. Verbal ที่ตามหลัง preposition ต้องเป็น gerund (v-ing) เช่น without smiling
2. กรณี กริยาต้องการกรรม (transitive verb) มีรูป participle ให้เลือก 2 รูป จะใช้รูป present participle (v-ing) หรือ past
participle (v.3) ให้ดูคำที่ตามมา
• ถ้าตามด้วย by หรือ prepositionalphrase จะใช้ v.3 เช่น the bridge built by …….. established in 1950, etc.
• ถ้าตามด้วย noun จะใช้ v-ingเช่น building the house
ประเด็นของความผิดพลาดที่ใช้ทดสอบเรื่อง preposition อาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ดังนี้
1. ใส่ preposition เข้าไปในตำแหน่งที่ไม่ควรจะมี หรือ ตัด preposition ทิ้งในตำแหน่งที่ควรจะมี
2. ใช้ preposition ผิดตัว
2. ใช้ preposition ผิดตัว
Examples :
1. Einstein providesus, according to experts inphysics,withinsightsaboutthe universe.
คำตอบที่ถูกคือ about ต้องแก้เป็น into (insight + into)
2. Candlesweremankind’schief sourceofilluminationsinceat least 2,000 years.
คำตอบที่ถูกคือ since ข้อนี้ใช้ preposition ผิดตัว เราเห็นคำว่า 2,000 years แสดงระยะเวลา (period of time) ฉะนั้นต้องใช้ for
3. Someof themost ofspectacular waterfalls in the easterUnited Stateare foundin the Pocono MountainsofPennsylvania.
ข้อนี้ใช้ preposition ในที่ที่ไม่ควรใช้ คือ most ofต้องตัด of ทิ้งไป เพราะในที่นี้ต้องการแสดง การเปรียบเทียบขั้นสูงสุด the most spectacular
ลักษณะความผิดพลาดทางไวยกรณ์เรื่อง word order คือ มีคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป เรียงลำดับแบบสลับที่ผิดๆที่พบบ่อยๆใน ข้อสอบมีดังนี้
Examples:
1. Itestimated isthat only about thirty percent ofourplanet’ssurfaceconsistsof land.
คำตอบคือ estimated is ซึ่งมีการเรียงลำดับคำผิด ต้องแก้เป็น isestimated
2. About two thousandyears ago, Arabians in Persia began to craftclay pots,an innovationthat accompanied the appearance ofagriculturein thearea centralof the continent.
คำตอบคือ area central ซึ่งมีการเรียงลำดับคำผิด ต้องแก้เป็น centralarea (adjective ต้องอยู่หน้า noun)
3. Plutoniumisarare extremelyandpreciouselement.
คำตอบคือ rare extremely ซึ่งมีการเรียงลำดับผิด ต้องแก้เป็น extremelyrare (adverb ต้องอยู่หน้า adjective
วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557
10 ประโยคที่ไม่ควรพูดกับพ่อแม่...
10 ประโยคที่ไม่ควรพูดกับพ่อแม่...
1.พอแล้วๆ รู้แล้ว จู้จี้จริงๆ พูดอยู่นั่นแหละ!
2.มีอะไรอีกไหม ไม่มีอะไร จะวางสายละนะ!
(ที่พ่อแม่โทรมา ก็เพราะอยากจะได้ยินเสียงลูก อยากถามไถ่ความเป็นอยู่ อย่าได้เห็นเป็นเรื่องน่ารำคาญ ทีพูดกับเพื่อนกับแฟนยังพูดได้เป็นชั่วโมง)
3.พูดยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ต้องถามแล้วนะ!
4.บอกพ่อกับแม่กี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำ ถึงทำไปก็ไม่เห็นจะดีอะไรเลย!
(พ่อแม่แก่เฒ่า มีใจแต่ไร้กำลัง แต่การที่พูดแบบไม่คิดอย่างนี้ กลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจของท่านแทน)
5.ความคิดแบบนี้มันโบราณไปแล้ว ยุคนี้ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก!
(คำแนะนำของพ่อแม่อาจจะช่วยอะไรเราไม่ได้ แต่ทำไมเราไม่เปลี่ยนมาเป็นรับฟัง อย่างน้อยอาจมีสิ่งดีๆที่เราคาดไม่ถึง ออกมาจากประสบการณ์ของพ่อแม่ก็เป็นได้)
6.บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องเข้ามาจัดห้อง เห็นไหมล่ะ! หาของไม่เจออีกแล้ว วันหลังไม่ต้องยุ่ง! (ห้องรก ต้องรู้จักจัดเก็บ ไม่จัดเก็บให้ดี ก็อย่าได้โทษพ่อกับแม่)
7.ผมรู้ว่าผมจะกินอะไร วันหลังไม่ต้องทำเผื่อ! (พ่อแม่เฝ้ารอคอยลูกๆกลับบ้าน ความรักความอาทรถูกเติมลงไปในอาหารที่ทำ จงรับเอาความห่วงหาอาทรนี้ไว้เถิด อย่าทำร้ายน้ำใจของท่านเลย มีคนจำนวนเท่าไหร่ที่อยากทานอาหารที่พ่อแม่ปรุงให้ แต่ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว!)
8.บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ากินของที่เหลือ บอกแล้วไม่รู้จักจำ
(พ่อแม่ประหยัดกินประหยัดใช้จนเป็นนิสัย บอกท่านทำให้น้อยลง ดีกว่าให้ท่านเป็นคนเก็บของเก่ามากินเอง)
9.ผมโตแล้ว ผมรู้ว่าผมจะต้องทำยังไง พูดอยู่ได้ รำคาญ!
10.ของเก่าๆพวกนี้เก็บไว้ทำไม รกบ้านเปล่าๆ ใช้การอะไรก็ไม่ได้!
(มันอาจจะไร้ค่าสำหรับเรา แต่มันอาจมีค่าสำหรับพ่อแม่ของแต่ละชิ้น ล้วนมีประวัติศาสตร์ เราไม่ดีใจเหรอ ของที่เราใช้ในตอนเด็ก วันนี้มันยังอยู่กับเรา?)
10 ประโยคนี้ เราอาจเคยพูดกับพ่อแม่ คุณๆทั้งหลายครับ อย่ารอจนถึงวันที่เรารู้คุณค่าแต่ท่านไม่อยู่เสียแล้ว...
1.พอแล้วๆ รู้แล้ว จู้จี้จริงๆ พูดอยู่นั่นแหละ!
2.มีอะไรอีกไหม ไม่มีอะไร จะวางสายละนะ!
(ที่พ่อแม่โทรมา ก็เพราะอยากจะได้ยินเสียงลูก อยากถามไถ่ความเป็นอยู่ อย่าได้เห็นเป็นเรื่องน่ารำคาญ ทีพูดกับเพื่อนกับแฟนยังพูดได้เป็นชั่วโมง)
3.พูดยังไงพ่อกับแม่ก็ไม่เข้าใจหรอก ไม่ต้องถามแล้วนะ!
4.บอกพ่อกับแม่กี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำ ถึงทำไปก็ไม่เห็นจะดีอะไรเลย!
(พ่อแม่แก่เฒ่า มีใจแต่ไร้กำลัง แต่การที่พูดแบบไม่คิดอย่างนี้ กลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจของท่านแทน)
5.ความคิดแบบนี้มันโบราณไปแล้ว ยุคนี้ทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก!
(คำแนะนำของพ่อแม่อาจจะช่วยอะไรเราไม่ได้ แต่ทำไมเราไม่เปลี่ยนมาเป็นรับฟัง อย่างน้อยอาจมีสิ่งดีๆที่เราคาดไม่ถึง ออกมาจากประสบการณ์ของพ่อแม่ก็เป็นได้)
6.บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องเข้ามาจัดห้อง เห็นไหมล่ะ! หาของไม่เจออีกแล้ว วันหลังไม่ต้องยุ่ง! (ห้องรก ต้องรู้จักจัดเก็บ ไม่จัดเก็บให้ดี ก็อย่าได้โทษพ่อกับแม่)
7.ผมรู้ว่าผมจะกินอะไร วันหลังไม่ต้องทำเผื่อ! (พ่อแม่เฝ้ารอคอยลูกๆกลับบ้าน ความรักความอาทรถูกเติมลงไปในอาหารที่ทำ จงรับเอาความห่วงหาอาทรนี้ไว้เถิด อย่าทำร้ายน้ำใจของท่านเลย มีคนจำนวนเท่าไหร่ที่อยากทานอาหารที่พ่อแม่ปรุงให้ แต่ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว!)
8.บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่ากินของที่เหลือ บอกแล้วไม่รู้จักจำ
(พ่อแม่ประหยัดกินประหยัดใช้จนเป็นนิสัย บอกท่านทำให้น้อยลง ดีกว่าให้ท่านเป็นคนเก็บของเก่ามากินเอง)
9.ผมโตแล้ว ผมรู้ว่าผมจะต้องทำยังไง พูดอยู่ได้ รำคาญ!
10.ของเก่าๆพวกนี้เก็บไว้ทำไม รกบ้านเปล่าๆ ใช้การอะไรก็ไม่ได้!
(มันอาจจะไร้ค่าสำหรับเรา แต่มันอาจมีค่าสำหรับพ่อแม่ของแต่ละชิ้น ล้วนมีประวัติศาสตร์ เราไม่ดีใจเหรอ ของที่เราใช้ในตอนเด็ก วันนี้มันยังอยู่กับเรา?)
10 ประโยคนี้ เราอาจเคยพูดกับพ่อแม่ คุณๆทั้งหลายครับ อย่ารอจนถึงวันที่เรารู้คุณค่าแต่ท่านไม่อยู่เสียแล้ว...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)