วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เด็กไทยน่าเป็นห่วง!! ม.1 เริ่มอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้


 แต่ข้อมูลที่ทำเอาช็อคและสะเทือนใจมากที่สุดต้องบอกว่าเกี่ยวกับน้องๆ นักเรียนโดยตรงเลยค่ะ นั่นก็คือผลวิจัยเกี่ยวกับการศึกษาไทย ไม่ว่าจะเป็นผลทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ ผลทดสอบระดับนานาชาติ ที่คะแนนออกมาต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เช่น ผลการสอบ O-NET ทั้ง 8 วิชา เมื่อปี 2555 ที่ผ่านมา ระดับชั้น ป.6 ค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 คะแนนถึง 5 วิชา ส่วน ม.3 ค่าเฉลี่ยต่ำกว่า 50 คะแนน ถึง 6 วิชา และระดับชั้น ม.6 สูงที่สุดคือต่ำกว่าเกณฑ์ถึง 7 วิชา นอกจากนี้ผลคะแนน Pisa ซึ่งเป็นการสอบประเมินระดับนานาชาติเพื่อวัดระดับความสามารถการเรียนรู้ด้านการอ่าน คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของเด็กไทยก็อยู่รั้งท้ายอีกเช่นกัน

             ยังไม่หมดนะคะน้องๆ นี่เป็นเพียงการประเมินส่วนหนึ่งด้วยการสอบเท่านั้น หากมองย้อนกลับมามองความจริงเรื่องการศึกษาของไทยเราจะพบว่าปัญหาที่หนักกว่าผลสอบยังมีอีกมาก หนึ่งในปัญหาเหล่านั้นก็คือ เด็กไทยเริ่มอ่านเขียนภาษาไทยไม่ออกเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แค่ประถมศึกษาเท่านั้นนะคะ แต่ยังลามไปถึงระดับมัธยมศึกษาแล้ว โดยเฉพาะ ม.1 ที่เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่ นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมด้านการเรียนเปลี่ยนไป คือ ไม่ชอบเขียนบทความยาวๆ และไม่ชอบอ่านหนังสือ!!

             พอพูดถึงประเด็นที่เด็กไทยไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือ พี่มิ้นท์เลยหาข้อมูลต่อ พบว่าจากเดิมที่เคยมีสถิติพูดกรอกหูกันว่าคนไทยอ่านหนังสือปีละไม่เกิน 8 บรรทัด ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว คือ เพิ่มเป็นอ่านเฉลี่ยปีละ 2-5 เล่ม(ข้อมูลจากสำนักสถิติแห่งชาติ) น้องๆ อาจจะมองว่านี่ก็เพิ่มขึ้นมาตั้งเยอะแล้ว ใครที่คิดแบบนี้ได้เวลามองโลกมุมใหม่แล้วนะ เพราะหลายๆ ชาติอาเซียนสร้างสถิติชวนให้คนไทยห่อเหี่ยวใจจริงๆ ในขณะที่เด็กไทยอ่านปีละ 2-5 เล่ม เยาวชนสิงคโปร์อ่านเฉลี่ยคนละ 50-60 เล่มต่อปี และเวียดนามอ่านเฉลี่ย 60 เล่มต่อปี เป็นตัวเลขที่สะท้อนคุณภาพของคนในชาติได้เป็นอย่างดี และเป็นคำถามที่น่าคิดมาตลอดว่าเพราะอะไร เด็กไทยถึงอ่านหนังสือน้อย ไม่รักการอ่าน? ไม่มีแรงจูงใจในการอ่าน? ไม่มีการส่งเสริมการอ่านกันอย่างจริงจัง หรือเด็กไทยไม่เห็นความสำคัญของการอ่านกันแน่
เด็กดีดอทคอม :: เด็กไทยน่าเป็นห่วง!!  ม.1 เริ่มอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
Read Singapore เป็นโครงการส่งเสริมการอ่านของประเทศสิงคโปร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
           ถ้าพูดถึงเรื่องการส่งเสริมการอ่าน หลายประเทศทั่วโลกรณรงค์ให้คนในประเทศรักการอ่านตั้งแต่เด็ก อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาเองส่งเสริมการอ่านจนกระทั่งอัตราคนที่อ่านออกเขียนได้ในประเทศเฉลี่ยสูงถึง 98% เลยทีเดียว ในแถบๆ อาเซียนอย่างมาเลเซียก็มีแผนส่งเสริมการอ่านที่น่าสนใจคือ ทำมุมพิเศษเพื่อจัดวางหนังสือบนรถไฟโดยสารและตามสถานีต่างๆ ส่วนสิงคโปร์ขึ้นชื่อว่าให้ความสำคัญกับการอ่านอยู่แล้ว ก็มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านอย่างต่อเนื่อง ทั้งห้องสมุดเคลื่อนที่ การสร้างชมรมนักอ่าน ทูตกิจกรรมการอ่าน เป็นต้น เห็นความตั้งใจของการส่งเสริมการอ่านในแต่ละประเทศแล้วก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประเทศเหล่านั้นถึงพัฒนาอย่างรวดเร็ว
           เห็นศักยภาพของประเทศเหล่านั้นแล้วก็ได้แต่หวังว่าประเทศไทยจะส่งเสริมการอ่านอย่างจริงจังบ้าง ยิ่งในปี 2556 นี้ กรุงเทพมหานครได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองหนังสือโลก  (World Book Capital) ด้วย น่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการอ่านและการเรียนรู้เพิ่มเติมได้ และหวังว่าสถิติครั้งต่อไปเด็กไทยจะอ่านหนังสือได้หลักสิบเล่มกับเขาบ้าง ^^
เด็กดีดอทคอม :: เด็กไทยน่าเป็นห่วง!!  ม.1 เริ่มอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
           ปิดท้ายพี่มิ้นท์มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้อเสนอแนะวิธีการรณรงค์ให้คนรักการอ่านหนังสือ จากการสำรวจการอ่านหนังสือของประชากรปี 2554 สำนักงานสถิติแห่งชาติ สอบถามจากประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีเป็นต้นไป โดยข้อเสนอแนะการรณรงค์ 10 อันดับ มีดังนี้

          1. หนังสือควรมีราคาถูกลง  31%
          2. หนังสือควรมีเนื้อหาสาระน่าสนใจ 21.5%
          3. ควรมีห้องสมุดประจำหมู่บ้าน/ชุมชน 20.2%
          4. ส่งเสริมให้พ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่านหนังสือ 17.6%
          5. รูปเล่มกะทัดรัด/ ปกสวยงามน่าอ่าน/ มีรูปภาพประกอบ 13.1%
          6.  ควรใช้ภาษาง่ายๆ ทุกคนสามารถเข้าใจ 13%
          7. หาซื้อได้ง่าย 12%
          8. จัดโครงการรณรงค์ร่วมกันอ่านหนังสือทั้งครอบครัว 10.04%
          9. โรงเรียนควรมีมาตรการให้นักเรียนอ่านหนังสือนอกเวลาอย่างจริงจัง 9.2%
        10. จัดให้มีมุมอ่านหนังสือ/ ห้องสมุดเคลื่อนที่ในย่านชุมชน/ ศูนย์การค้า 6.5%

10 ความเสี่ยง ถูก Social Network ทำร้ายโดยไม่รู้ตัว 


เสี่ยง! กับกิจกรรมแน่นิ่ง

เฉลี่ยแล้วเราใช้เวลาไปกับการนั่งนิ่งหน้าจอทีวี จอคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่จอโทรศัพท์มือถือ มากกว่า 13 ชั่วโมงต่อวันในวันหยุด ถึงแม้นี่จะเป็นค่าเฉลี่ยของคนไทย แต่จะเถียงมั้ยว่า ทุกวันนี้ แม้เป็นวันธรรมดาที่ต้องไปเรียนหรือไปทำงาน น้องๆ ก็ใช้เวลากับกิจกรรมแน่นิ่งไปไม่น้อยเลย ...ไม่เชื่อลองนับดู!

กิจกรรมแน่นิ่งเหล่านี้ ทำร้ายเราอย่างไร?

  • โรคอ้วน หรือขาดสารอาหาร
  • จอประสาทตาเสื่อม หรือสายตาสั้น
  • เครียด สุขภาพจิตไม่ดี
  • อดนอนเรื้อรัง และร่างกายอ่อนเพลีย
  • เสียโอกาสในการเข้าสังคม พบปะผู้อื่น
  • เสียเวลา กระทบต่อการเรียนและการทำงาน

เสี่ยง! เสื่อมเสียชื่อเสียงและหมดอนาคต

เรียกว่าเป็นอีก Step ของความดัง ทุกวันนี้ หลายคนต้องการยอด Like ไปสร้างชื่อเสียง มีหลากหลายวิธีที่จะทำให้น้องๆ เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ แต่เชื่อหรือไม่ วิธีที่หลายคนใช้อยู่นั้นไม่เหมาะสม!”
บน Social Network เรามักคิดว่า จะทำอะไรก็ได้ ไม่ต้องแคร์ใคร แล้ว ในความเป็นจริง ทุกๆ สิ่งที่เราทำ เราโพสต์ เราแชร์ หรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นนั้น ย่อมส่งผลถึงอนาคตโดยตรงถึงตัวเรา... ความเสี่ยงที่ว่านี้ก็คือ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และความประมาท นั่นเอง

ประมาทในโลกออนไลน์ ทำร้ายเราอย่างไร?

  • ถูกหลอก เสียทรัพย์ เพราะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากไป
  • ตกงานและถูกพักการเรียน เพราะโพสต์รูปและข้อความไม่เหมาะสม
  • ผิดกฎหมาย เพราะความคึกคะนอง
  • ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และกระทำอนาจาร
  • เสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูล มีผลกระทบต่อครอบครัว

เสี่ยง! เจ็บตัวและเจ็บใจ

ทุกวันนี้ จะทำอะไร ไปไหน กินอะไร ก็ต้องถ่ายรูป ต้องอัพ ต้องแชร์ตลอด บางคนอัพเดทการแต่งตัวทุกวัน บางคนก็รายงานสดชีวิตส่วนตัวทุกชั่วโมง บางคนก็หอบทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตแถมเสียบสายหูฟังพันกันนัวเนีย และที่หนักที่สุดที่ทำเอาหลายคนเงยหน้าไม่ขึ้นคือ “การแชท” เพราะมันทั้งแซ่บทั้งมันติดพันตลอดเวลา ...ทั้งหมดนี้ ยิ่งทำให้เราเสี่ยงกันมากขึ้น

ติดอุปกรณ์ไอที ทำร้ายเราอย่างไร?

  • ขาดการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
  • พลาดการแจ้งเตือนหรือประกาศสำคัญ เพราะมัวใส่หูฟัง
  • มีอาการหูดับจากการฟังเพลงเสียงดัง
  • ประสบอุบัติเหตุเล็กน้อยพอได้อับอาย
  • พิการหรืออันตรายถึงแก่ชีวิต โดยมากพบในผู้ที่ใช้รถใช้ถนน

วัฒนธรรมต่างประเทศ

รวมภาพร้านหนังสือสวยๆ จากทั่วโลก!! คนรักหนังสือห้ามพลาด



 เมืองบัวโนไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า

ร้านหนังสือสุดอลังการแห่งนี้อยู่ไกลสักหน่อย เพราะอยู่ถึงทวีปอเมริกาใต้โน่นแน่ะ หรูหราขนาดนี้ แน่นอนว่าเป็นร้านหนังสือที่ดังและสวยที่สุดของประเทศเลยล่ะค่ะ โดยในตอนแรกนั้นถูกสร้างมาเป็นโรงละครซึ่งมีที่นั่งทั้งหมด 1,050 ที่ ใช้โชว์การแสดงที่หลากหลาย จนในปี 2000 ได้ยกสถานที่นี้ให้ผู้อื่นเช่าและเปิดเป็นร้านหนังสือของสำนักพิมพ์ที่มีชื่อว่า El Ateneo แทน ในแต่ละปีมีลูกค้าและคนเข้ามาชมร้านหนังสือแห่งนี้เกิน 1 ล้านคนทีเดียว! กลายเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดไปซะแล้ว

















เมืองมาสทริชท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์

Selexyz เป็นร้านหนังสือที่มีสาขาทั้งหมด 16 สาขาในเนเธอร์แลนด์ แต่สำหรับร้าน  Selexyz สาขาเมืองมาสทริชท์นั้น อดีตคือโบสถ์โดมินิกันที่มีอายุกว่า 700 ปี จึงไม่น่าแปลกใจที่ให้อารมณ์ขลังอย่างมาก โดยผู้ที่ปรับปรุงโบสถ์ให้กลายเป็นร้านหนังสือคือสถาปนิกชาวดัตช์ชื่อดังอย่าง Merkx+Girod ซึ่งชนะการประกวดออกแบบภายในมาแล้วหลายเวที โดยได้เลือกเหล็กสีดำที่ดูทันสมัยและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งที่ดูอินเทรนด์มาเปลี่ยนแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นร้านหนังสือที่ดูคลาสสิก ส่วนโคมไฟต่างๆ ภายในร้านหนังสือนั้น จะให้อารมณ์เหมือนกำลังจุดเทียนอยู่ในโบสถ์เก่าย้อนยุคนั่นเอง


















เมืองบราทิสลาวา ประเทศสโลวาเกีย

สำหรับร้านนี้เป็นร้านหนังสือเล็กๆ 2 ชั้น ที่พยายามค้นหาไอเดียว่า ร้านหนังสือเล็กๆ จะสร้างบรรยากาศที่ดีให้ลูกค้าได้ยังไง? และในที่สุดก็ออกมาเป็นร้านหนังสือที่มีทางเดินโล่งๆ เพื่อให้ดูโล่งและกว้าง ทำให้ร้านเล็กๆ กลายเป็นร้านที่ดูใหญ่โออ่าขึ้น โดยจะคัดหนังสือออกใหม่และหนังสือขายดีมาตั้งไว้ตรงกลางทางเดิน ส่วนชั้นล่างเป็นคาเฟ่เล็กๆ มีกาแฟไว้บริการ
















เมืองปอร์โต ประเทศโปรตุเกส

ถือเป็นร้านหนังสือแห่งหนึ่งที่เก่าแก่มากที่สุดของโปรตุเกส เพราะแม้แต่เว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Lonely Planet ยังนับให้ร้านหนังสือนี้เป็นร้านหนังสือที่เก่าแก่อันดับ 3 ของโลก (ท่าทางจะเก่าจริงแฮะ) ในปี 1869 ที่แห่งนี้ถูกสร้างเป็นบริษัทธุรกิจ แต่เจ้าของกิจการดันมาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ตึกจึงถูกขายต่อไปในปี 1894 และกลายเป็นร้านหนังสือ Livraria Lello โดยได้ถูกออกแบบใหม่เป็นแนวนีโอโกธิค ด้านในมีบันไดสีแดงเชื่อมไปยังชั้นสอง และนอกจากจะมีขายหนังสือภาษาโปรตุเกสแล้ว ยังมีหนังสือภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศสขายอยู่ด้วยไม่น้อย

















เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

Mendo เป็นร้านหนังสือที่ถูกตกแต่งในสไตล์เท่ๆ อาร์ตๆ ดูไม่เยอะ และไม่หวือหวา แน่นอนว่าที่นี่เน้นขายหนังสือแนวอาร์ตๆ ในคอนเซ็ปต์ 'creative books' เหมือนกับสภาพร้านเด๊ะ นั่นก็คือหนังสือจำพวกแฟชั่นดีไซน์ การถ่ายภาพ สถาปัตย์ การออกแบบภายใน กราฟิกดีไซน์นอกจากนี้ในร้านยังมีหนังสือปกแข็งสีดำ เล่มหนาๆ ที่หน้าปกเขียนว่า MENDO อีกประมาณ 2 พันเล่ม ซึ่งที่จริงแล้วภายในเป็นหน้ากระดาษเปล่าๆ ไม่ได้เป็นหนังสืออะไร แต่ที่ถูกทำและนำมาตั้งไว้ก็เพื่อให้หนังสือเล่มอื่นๆ ดูเด่นขึ้นมานั่นเอง ว้าวววว ดังนั้นใครเป็นเด็กอาร์ตและมีโอกาสไปเยือนอัมสเตอร์ดัม ห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาด!
















 เมืองโอไฮ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

ถ้าถามว่าเป็นร้านหนังสือที่สวยมั้ย? ก็ไม่ได้ถึงกับหรูหราอะไรนัก แต่มีดีตรง "ความเก๋" เพราะเป็นร้านหนังสือแบบ Outdoor หรือเปิดโล่งที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา ก่อตั้งโดยริชาร์ด บาร์ตินส์เดล ในปี 1964 ร้านเปิดทุกวันจนถึง 3 ทุ่มครึ่ง แต่หากเลยเวลานี้แล้วใครเกิดอยากหนังสือตอนดึกๆ ก็สามารถมาได้ โดยจะมีกล่องให้หยอดเงินค่าหนังสือตั้งไว้ งานนี้ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันล้วนๆ ล่ะ วันไหนอากาศดีๆ ไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป จะมีร้านหนังสือแห่งใดเหมาะเท่ากับร้านนี้อีกล่ะ!

















เมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา

เห็นหรูขนาดนี้ แน่นอนว่าแต่เดิมไม่ได้เป็นร้านหนังสือค่ะ เพราะแต่เดิมเป็นโรงละครชื่อ Chapters Runnymede  ซึ่งเป็นโรงละครชื่อดังประจำเมืองมาก่อน จนในปี 1999 ได้ถูกเปลี่ยนเป็นร้านหนังสือแทนปัจจุบันถือเป็นร้านหนังสือประจำเมืองและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองโตรอนโตไปแล้ว สำหรับเวลาทำการนั้นเปิดทุกวันตั้งแต่เช้าจนถึง 3 ทุ่ม