วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

ดอกไม้ที่มีพิษแรงที่สุดในโลก








           เจ้าดอกไม้อันตรายนี้ มีชื่อว่า Wisteria จัดเป็นพืชตระกูลถั่ว พวกมันพบได้ในหลายพื้นที่ของโลก เช่น จีน ญี่ปุ่น อเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้น wisteria แข็งแรงมากและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มันเป็นสายพันธุ์ที่รุกรานป่าอื่นในหลายพื้นที่ โดยเฉเพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันสามารถเจริญเติบโตได้ในดินคุณภาพต่ำ แต่มันชอบดินอุดมสมบูรณ์ชุ่มชื่น เหมือนพืชอื่นๆมากกว่า
 มันเป็นพืชที่อาศัยการยึดเกาะติดกับที่ต่างๆเช่น กำแพง หรือต้นไม้อื่น wisteria ที่ใหญ่ที่สุดมีความสูง 20 เมตร หนัก 250 ตัน อยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา
         ต้น wisteria เป็นต้นไม้ที่มีดอกที่สวยงาม และมีกลิ่นหอม แต่อย่าหลงความสวยของมันล่ะ เพราะหากกินดอกของมันเข้าไปอาจอาเจียน วิงเวียน ปวดหัว จนถึงขั้นช็อกได้

คำคมสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต


30 คำคมสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต
Happiness is an attitude.
We either makes ourselves miserable or happy and strong.
It is your choice.

ความสุขเป็นเพียงทัศนคติหนึ่ง
เราจะทำชีวิตให้เศร้า สุข หรือเข้มแข็ง
ขึ้นอยู่กับเราเลือกที่จะเป็น


30 คำคมสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต

You can't make someone else's choices 
so you shouldn't let someone else make yours.
Follow your heart.

เราไม่อาจตัดสินใจแทนคนอื่นได้
เราจึงไม่ควรปล่อยให้คนอื่นมาตัดสินใจแทนเราเช่นกัน
เพราะฉะนั้น จงทำตามหัวใจเรียกร้องเถอะ


30 คำคมสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต

The most successful people in the world
Have made many mistakes 
And experienced far more failure than the rest.

คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
คือคนที่พบเจอความผิดพลาดและความล้มเหลวมามากกว่าคนอื่น

30 คำคมสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต

You must lose your fear of being wrong
In order to live a creative life.

คุณต้องละทิ้งความกลัวที่จะผิดพลาด
เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์

30 คำคมสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต

Do not allow what you cannot do,
Interfere with what you can do.
You can reach your dreams faster
Doing things you're good at.

อย่าปล่อยให้สิ่งที่คุณทำไม่ได้
มาเป็นอุปสรรคในการทำสิ่งที่คุณทำได้
คุณสามารถเอื้อมคว้าความฝันให้เร็วขึ้นได้
หากเลือกทำในสิ่งที่คุณรัก

30 คำคมสร้างแรงบันดาลใจให้ชีวิต

If someone seeks advice,
Give them direction, not correction.
Do not force your opinions on others.
Steer them to make their own decisions.

หากมีคนมาขอคำปรึกษา
จงแนะแนวทางแก่เขา ไม่ใช่เข้าไปแก้ปัญหาให้เขา
อย่าบังคับคนอื่นให้คิดเหมือนกับเรา
แค่แนะนำให้เขาได้ตัดสินใจด้วยตัวเองก็พอ

คำขวัญวันปฎิวัติฝรั่งเศส

ในยุคสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศสได้เกิดคำขวัญขึ้นมาว่า "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หรือความตาย" (Liberté, Égalité, Fraternité, ou la Mort!) แต่หลังจากนั้นในสมัยจักรวรรดิฝรั่งเศสและราชวงศ์บูร์บงฟื้นฟู คำขวัญดังกล่าวก็ได้ถูกลืมหายไปจนกระทั่งปี พ.ศ. 2391 ปีแอร์ เลอรูซ์ได้นำคำขวัญกลับคืนมาใช้อีกครั้งหนึ่ง และนายกเทศมนตรีนครปารีสได้เขียนคำขวัญดังกล่าวบนกำแพงเมือง จนกระทั่งสมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 ที่คำขวัญนี้ได้กลายเป็นคำขวัญอย่างเป็นทางการ
ในระหว่างการบุกประเทศฝรั่งเศสของเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คำขวัญได้ถูกแทนโดย "งาน ครอบครัว ปิตุภูมิ" (Travail, famille, patrie) โดยฟิลิป เปแตง หัวหน้ารัฐบาลวิชีฝรั่งเศสโดยการสนับสนุนของนาซีเยอรมนี อย่างไรก็ตามคำขวัญใหม่นี้ได้ถูกล้อเลียนเป็น "แสวงโชค อดอยาก ลาดตระเวน" (Trouvailles, famine, patrouilles) ซึ่งเป็นการสะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ในสมัยวิชีฝรั่งเศสที่มีความขาดแคลนและความยากลำบากในการดำรงชีวิต
ปัจจุบันประเทศฝรั่งเศสได้ใช้คำขวัญว่า "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" (Liberté, Égalité, Fraternité) เป็นคำขวัญประจำชาติซึ่งก็ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสปี 2489 และ 2501

เสรีภาพ

เสรีภาพ (Liberté) คือการเน้นในเสรีภาพของบุคคล หรือ ปัจเจกชนนิยม และได้ขยายไปในเรื่องเสรีภาพในด้านความคิด ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาหาความรู้ การพิมพ์และเผยแพร่ข่าวสาร รวมทั้งเสรีภาพในทางการเมือง

เสมอภาค

เสมอภาค (Égalité) คือความเท่าเทียมกันตามกฎหมายของปัจเจกชน ความเสมอภาคขึ้นอยู่กับหลักความเที่ยงธรรม ความเท่าเทียมกันในเรื่องสิทธิและหน้าที่ เช่น ความเท่าเทียมในด้านการเสียภาษี การรับใช้ชาติโดยการเป็นทหาร และสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง

ภราดรภาพ

ภราดรภาพ (Fraternité) คือความเป็นพี่เป็นน้องกัน มนุษย์ทุกคนจะต้องมีความเท่าเทียมกันและปฏิบัติต่อกันดุจพี่น้อง ความเป็นพี่เป็นน้อง เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ คือ การไม่เน้นผิวพรรณ หรือ เผ่าพันธุ์

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2558

สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์

ในฝรั่งเศสมีอนุสาวรีย์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายและปัจจุบันได้เป็นสมบัติที่มีค่าของประเทศ เพราะนอกจากจะบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองในอดีตยังทำให้ประเทศเป็นแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ปารีสก็ยังคงเป็นเมืองที่มีอนุสาวรีย์ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากที่สุด
          Les invalides หรือ l’hôtel des Invalides ( เลแซงวาลิด ) อาคารที่มีโดมสวยงามนี้ตั้งอยู่ที่กรุงปารีส สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1714 ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เพื่อเป็นโรงพยาบาลที่พักทหารที่บาดเจ็บและพิการจากสงครามตั้งแต่ปี ค.ศ. 1670 ส่วนใหญ่ของอาคารหลังนี้สร้างโดยสถาปนิก Jules Hardouin Mansart ส่วนโดมและวัด ( Chapelle ) สร้างในสมัยนโปเลียนที่ 1 ในปี ค.ศ. 1840 ได้นำพระศพของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ไปไว้ใน Chapelle เรียกว่า Chapelle des Soldats มีศพนายพลพระสหายของพระเจ้านโปเลียนหลายคนฝังอยู่ด้วย
          ปัจจุบัน Les invalides อยู่ในความดูแลของกระทรวงกลาโหม ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ทหาร ( Musée de l’Armée ) โดมซึ่งสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 1 นั้นสวยงามมาก เป็นงานชิ้นที่สวยงามที่สุดในบรรดาโดมทั้งหมดของปารีส สไตล์การสร้างเรียกว่า jésuite สไตล์เจซูอิทนี้เป็นสไตล์แบบ Contre-Réforme



L'Arc de Triomphe de l'Etoile
          L’Arc de Triomphe de l’Etoile ( ประตูเอตวล ) พระเจ้านโปเลียนที่ 1 โปรดให้สร้างประตูชัยแห่งนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะในการรบในสมัยพระองค์ เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1810 ใช้เวลาสร้าง 20 ปี ในสมัยพระเจ้าฟิลลิป ผู้ออกแบบ คือ Chalgrin ประตูชัยเอตวลอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำแซน เป็นอนุสาวรีย์ที่ใหญ่โตหรูหรามากในด้านสถาปัตยกรรม มีอาเวอนู 12 สายมาพบกันดูเป็นแฉกเหมือนดาวสวยงามมาก ทำให้ Place de l’Etoile ได้ชื่อว่าเป็น le beau carrefour rayonnant ในปี ค.ศ. 1970 จัตุรัสนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Place Charles-de-Gaule แต่คนปารีสยังนิยมเรียกว่า Place de l’Etoile เสาที่ใหญ่ทั้งสี่เสาของประตูชัยหนา 20 เมตร มีลิฟต์พาขึ้นไปบนหลังคาประตูชัยได้บนเสาใหญ่มีภาพสลักนูนสูงที่สวยงามและมีคุณค่า แสดงชัยชนะในการสงครามในสมัยจักรวรรดิที่ 1 ใต้โค้งประตูมีหลุมฝังศพทหารนิรนามที่ตายเพื่อประเทศฝรั่งเศสระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 บนหลุมฝังศพมีเปลวไฟลุกอยู่ไม่มีวันดับ เพื่อสักการะดวงวิญญาณทหารหาญเหล่านั้น
Place de la Concorde
          Place de la Concorde ( จัตุรัสคองกอร์ด ) เป็นจัตุรัสที่กว้างใหญ่ที่สุดของกรุงปารีส สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ระหว่างปี ค.ศ. 1753-1775 โดยทรงให้ Jacques-Ange Gabriel เป็นสถาปนิกออกแบบตกแต่งบริเวณ ในบริเวณลานกว้างใหญ่เนื้อที่ 62,000 ตารางเมตร มีรูปปั้น น้ำพุ มีเสาหินสูง 23 เมตร ชื่อ โลเบลิสต์ เดอ ลุกซอร์ (L’Obélisque de Lougsor ) ซึ่งปาชาโมฮำเม็ด อาลี แห่งอียิปต์ถวายแก่พระเจ้าหลุยส์-ฟิลลิป ในปี ค.ศ. 1836
          จัตุรัสแห่งนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสเพราะในสมัยปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ปีค.ศ. 1789 นั้น เป็นที่ที่ประหารพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอองตัวเนต ด้วยเครื่องกิโยติน ( Guillotine ) ชื่อของจัตุรัสตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1795 ว่า Place de la Concorde โดยมีเหตุผลที่จะสมานความสามัคคีระหว่างผู้ปฎิวัติและผู้ถูกปฎิวัติ คำว่า concorde หมายความว่า ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
La Conciergerie
          La Conciergerie ( ลาคองแซจเชอคี ) la Conciergerie เคยเป็นที่อยู่ของ gouverneur ของ la maison du Roi ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1392 ได้กลายเป็นคุก ในระหว่างการปฏิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส ( ปี ค.ศ. 1793-1794 ) ลาคองแซจเชอคี กลายเป็นคุกของรัฐ ( prison d’Etat ) มีโศกนาฎกรรมต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ในช่วงที่เป็น prison d’Etat La Conciergerie สวยงามและเด่นสง่าเมื่อมองจากเกาะกลางแม่น้ำแซน (I’île de la Cité) ส่วนที่เด่นของ la Conciergerie คือหอคอยกลม ( les tours rondes ) และหอนาฬิกาสี่เหลี่ยม ( la tour carée de l’horloge )
Le Panthéon

          Le Panthéon ( เลอปองเตอง ) เป็นอนุสาวรีย์ที่ใหญ่ที่สุดใน le quartier Latin โดมสูง 80 เมตร ตัวอาคารยาว 110 เมตร กว้าง 82 เมตร เริ่มสร้างในสมัยพระเจ้า หลุยส์ที่ 15 โดยพระองค์ทรงวางศิลาฤกษ์เองในปี ค.ศ. 1764 สถาปนิก คือ Soufflot ซึ่งต่อมาได้เป็นชื่อถนนด้านหน้าของ Panthéon เพื่อเป็นเกียรติแก่สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่คนนี้
          ตอนสร้างตอนแรกนั้นเพื่อเป็นโบสถ์ (égliseในสมัยปฏิวัติเป็นวิหาร ( temple ) โดยให้ชื่อว่า Panthéon เป็นที่เก็บศพหรือกระดูกของรัฐบุรุษและบุคคลสำคัญของชาติ ในสมัย Restauration ( 1814-1830 ) ได้เป็นวิหารแห่งความรุ่งโรจน์ ( temple de la Gloire ) ในสมัยพระเจ้า หลุยส์-ฟิลลิป ซึ่งในสมัยจักรวรรดิที่ 2 เป็นโบสถ์ (église) ในสมัยสาธารณรัฐที่ 3 กลับเป็นที่ฝังศพของรัฐบุรุษตามเดิม
          ได้มีพิธีฝังศพวิคเตอร์ ฮูโก ( Victor Hugo ) นักเขียนคนสำคัญของฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1885
          ข้างในวิหารที่มีโดมใหญ่โตนี้มีภาพวาดฝาผนังสวยงามที่มีชื่อเสียงที่สุด คือ ภาพวาดของปูวิ ( Puvis ) และ ชาวาน ( Chavannes )           ศพคนสำคัญ และนักเขียนของฝรั่งเศสที่เก็บไว้ในห้องใต้ดิน มี Jaurès, Braille,Emaile Zola,Voltaire,Rousseau ฯลฯ คำจารึกข้างหน้าเขียนไว้ว่า ประเทศระลึกถึงบุญคุณรัฐบุรุษ และคนสำคัญ “Aux grand Hommes,la patrie reconnaissante”

L'Arc de Triomphe de Carrousel
          L’Arc de Triomphe de Carrousel (ประตูชัยการูเซล) อยู่ในสวน Tuilerie ในบริเวณพิพิธภัณฑ์ Louvre พระเจ้านโปเลียนที่ 1 โปรดให้ สร้างขึ้นตั้งใจจะให้เหมือน ประตูชัย Septiem Sévère ( จักรพรรดิโรมันซึ่งครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 193 - 211 ) กับของพระเจ้า Constantin มหาราช ซึ่งเป็นจักพรรดิโรมันเช่นกัน ( ค.ศ. 306 - 337 )
          ประตูชัยการูเซลค่าใช้จ่ายร่วมล้านฟรังค์ในสมัยนั้น สูง 14.90 เมตร ยาว 19.50 เมตร มีซุ้มประตูโค้ง 3 ซุ้ม ซุ้มตรงกลางใหญ่ที่สุด สิ่งที่ทำให้ประตูชัยนี้มีคุณค่าสูงคือภาพสลักหินอ่อนสีชมพู รสนิยมแบบโบราณมาผสมผสานเข้ากับศิลปะยุค นโปเลียนได้อย่างกลมกลืน เสากลม 8 ต้น ที่ตั้งประดับอยู่นี้ทำด้วยหินอ่อนสีแดง ตุ๊กตา 8 ตัวบนยอดเสาสลักเป็นทหารเหล่าต่าง ๆ ในสมัยนโปเลียนบนซุ้มประตูรถแบบโรมัน เทียมม้า 4 ตัว มี 2 ล้อ กำลังแล่นนำผู้มีชัยชนะ แต่งตัวแบบโรมัน ในมือชูคบเพลิงแห่งชัยชนะเข้าในเมือง มีเทพธิดา 2 นาง ขนาบข้างม้าทั้ง 4 มาด้วย ประตูชัยการูเซลไม่เด่นสง่าเท่าประตูเอตวล เพราะประตูชัยเอตวลเป็นจัตุรัส แต่จากประตูชัยการูเซลจะได้ภาพที่สวยงามมาก เมื่อดูหันหน้าไปทางทิศตะวันออกมองลอดซุ้มโค้งของ Le Carrousel จะเห็นเสาหิน Obélisque อยู่ถัดไปและจะเห็น L’Arc de Triomphe de l’Etoile อยู่ลึกสุดของภาพ ซึ่งเป็นแนวตรง เป็นภาพที่สวยงามหาดูได้ยาก
Palais de Justice
          Palais de Justice กระทรวงยุติธรรม เป็นพระบรมมหาราชวังแห่งแรกของกษัตริย์ฝรั่งเศสอยู่ใน I’île de la Cité ปัจจุบันเป็นศาลสถิตย์ยุติธรรมของกรุงปารีส

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Boeuf Bourguignon

Recette de cuisine : « boeuf bourguignon »
Un grand classique de la cuisine française !
Cuisine Recipe: « Boeuf Bourguignon »
A major French classic cuisine!

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

"มาลาลา ยูซาฟไซ" เด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้หาญสู้เพื่อเด็กๆ และสันติภาพ

การเดินทางของ "มาลาลา ยูซาฟไซ" จากเด็กนักเรียนหญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งในปากีสถาน สู่การเป็นผู้คว้ารางวัลโนเบล สาขาสันติภาพด้วยอายุน้อยที่สุด เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน จากการที่เธอเกือบต้องเสียชีวิตไปเพราะการออกมาต่อสู้เพื่อสิทธิของเด็กผู้หญิงในบ้านเกิด 
malala
          ในปี 2555 ยูซาฟไซซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 15 ปี อยู่ระหว่างการเดินทางกลับบ้านในมิงโกรา เขตสวาท วัลเลย์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของปากีสถาน แต่รถโรงเรียนของเธอถูกสกัดโดยกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน และเธอถูกยิงเข้าที่ศีรษะ อาการเป็นตายเท่ากัน
          การโจมตีในครั้งนั้นเกิดขึ้นเพื่อเป็นการลงโทษเธอที่ออกมารณรงค์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่อายุได้เพียง 11 ขวบ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้เด็กผู้หญิงได้ไปโรงเรียน ทั้งผ่านบล็อกส่วนตัวและทางสื่อต่างๆ เพื่อคัดค้านการห้ามผู้หญิงได้รับการศึกษา และมีการลอบวางระเบิดโรงเรียนของกลุ่มติดอาวุธ
          ยูซาฟไซที่ปัจจุบันอายุ 17 ปี และ "ไซอุดดิน" บิดาของเธอที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน และนักเคลื่อนไหวเพื่อการศึกษา กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในปากีสถานจากการออกมารณรงค์ในเรื่องนี้  และไม่ยอมเลิกล้มความตั้งใจ แม้จะได้รับคำขู่จากลุ่มตาลีบันหลายครั้ง
          หลังจากที่โดนยิง ยูซาฟไซเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลท้องถิ่น ก่อนที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะจัดหาเครื่องบินพยาบาลนำตัวเธอไปรักษาต่อในอังกฤษ ซึ่งแพทย์ได้ใช้แผ่นไททาเนียมซ่อมแซมกะโหลกศีรษะ และเธอต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อฟื้นฟูความสามารถในการได้ยิน
          เมื่อรักษาตัวจนอาการดีขึ้นอย่างน่าพอใจ ครอบครัวยูซาฟไซ ที่รวมถึงบิดา มารดา และน้องชายของเธออีก 2 คนต้องมาเริ่มชีวิตใหม่ของตัวเองในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เพราะไม่สามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้ จากการที่ยังถูกกลุ่มตาลีบันข่มขู่เอาชีวิตอย่างต่อเนื่อง
          การรอดชีวิตมาได้อย่างที่เรียกได้ว่าเหมือนปาฏิหาริย์นั้น ยังทำให้สาวน้อยรายนี้ผงาดขึ้นมาจากการเป็นเหยื่อของความพยายามฆาตกรรม สู่การเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกในด้านการประท้วงอย่างสันติ และการต่อสู้เพื่อให้เด็กๆ ทุกคนได้ไปโรงเรียน

          สาวน้อยที่บางคนเรียกขานว่าเป็น "เด็กผู้หญิงที่กล้าหาญที่สุดในโลก" รายนี้ บอกว่า เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างกับโชคชะตาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่เธอยังยึดมั่นกับการต่อสู้ของเธออยู่

          "พวกคุณล้วนช่วยให้โลกตระหนักถึงเป้าหมายของหนู ตระหนักถึงสิ่งที่หนูทุ่มเททำลงไป ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับตัวหนูมากไปกว่าเรื่องที่เด็กทุกคนจะได้รับสิทธิในการเรียนหนังสือ" ถ้อยแถลงที่ยูซาฟไซเคยพูดไว้ขณะขึ้นรับรางวัลรางวัลหนึ่ง
          ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ยูซาฟไซได้รับรางวัลมากมาย มีรูปของเธอแขวนอยู่ในแกลลอรีแสดงภาพเหมือนแห่งชาติของอังกฤษ และในวันเกิดปีที่ 16 ของเธอเมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว เธอก็ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เธอระบุว่า "ครู 1 คน หนังสือ 1 เล่ม ปากกา 1 ด้าม สามารถเปลี่ยนโลกได้"
          เมื่อปีที่แล้ว เธอยังได้ตีพิมพ์หนังสือบันทึกความทรงจำ "ฉันคือมาลาลา เด็กหญิงที่ยืนหยัดเพื่อการศึกษา และถูกตาลีบันยิง" บอกเล่าเรื่องราวอันน่าหวาดกลัวของการโดนทำร้ายในวันที่ 9 ต.ค.2555
          ในหนังสือเล่มนี้ เธอยังได้อธิบายชีวิตของตัวเองสมัยที่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบอันโหดร้ายของกลุ่มตาลีบันในเขตสวาท วัลเลย์ ช่วงกลางทศวรรษ 2000 พูดคุยถึงเรื่องความฝันที่จะลงเล่นการเมือง และบอกเล่าเกี่ยวกับอาการคิดถึงบ้าน และการที่ต้องดิ้นรนเพื่อปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ในอังกฤษ
          ยูซาฟไซเล่าเกี่ยวกับตัวเธอเองว่า ค่อนข้างเป็นเด็กนักเรียนที่กระตือรือร้น อยากสอบได้เป็นที่ 1 ของชั้น แต่ขณะเดียวกันเธอก็ยังเป็นเด็กวัยรุ่นทั่วๆ ไปที่เป็นแฟนเพลงของนักร้องเพลงป๊อปชื่อดังอย่าง จัสติน บีเบอร์ และชอบอ่านนิยายแวมไพร์โรแมนติกอย่าง "ทไวไลท์"
          อย่างไรก็ดี การที่เธอต้องผ่านอะไรมามากมาย ทำให้เธอดูเป็นคนแปลกๆ ในสายตาของเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอพูดคุยเกี่ยวกับเรื่้องภัยคุกคามจากตาลีบัน
          โลกตะวันตกต่างพากันชื่นชม ยูซาฟไซ ในความกล้าหาญของเธอ โดยคนดังที่เป็นแฟนคลับของเธอรวมถึง แองเจลินา โจลี ดาราสาวชื่อดังแห่งฮอลลีวูด ผู้บริจาคเงินให้กับ "กองทุนมาลาลา" ที่เธอและครอบครัวก่อตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยสนับสนุนด้านการศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิงในปากีสถานและทั่วโลกด้วย 
          อย่างไรก็ดี เธอยอมรับว่าเธอไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบมากเท่าใดนักในบ้านเกิดของเธอที่ปากีสถาน เพราะเพื่อนร่วมชาติของเธอบางส่วนมองว่าเธอเป็นลูกน้องของชาติตะวันตก เธอยังปฏิเสธอย่างหนักแน่นถึงเสียงวิจารณ์บางกระแสที่บอกว่า บิดาเป็นผู้ผลักดันให้เธอออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องการศึกษา
          ยูซาฟไฟ บอกว่า ผู้คนในปากีสถานต่างไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่เธออยากให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการให้ใครมาสนับสนุนเธอ แต่ต้องการให้สนับสนุนเป้าหมายของเธอในเรื่องสันติภาพและการศึกษา
          "หนูคือมาลาลา แม้โลกของหนูจะเปลี่ยนไป แต่ตัวตนของหนูก็ยังเหมือนเดิม"
nobel
"ยูซาฟไซ-สัตยาธี"ร่วมคว้าโนเบลสันติภาพ
          คณะกรรมการตัดสินรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในนอร์เวย์ ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ต.ค.57 มอบรางวัลให้กับ นางสาวมาลาลา ยูซาฟไซ เด็กหญิงชาวปากีสถานที่รณรงค์ด้านการศึกษาของเด็ก และ นายไกลาศ สัตยาธี นักเคลื่อนไหวต่อต้านการใช้แรงงานเด็กในอินเดีย สำหรับความทุ่มเทในการต่อสู้เพื่อสิทธิทางการศึกษาของเด็กทุกคน และการหยุดยั้งการกดขี่ข่มเหงเด็กๆ
          คณะกรรมการยังย้ำให้เห็นถึงความสำคัญที่ชาวมุสลิม-ฮินดู และชาวปากีสถาน-อินเดีย จะร่วมมือกันในการรณรงค์เพื่อการศึกษาและการต่อสู้กับกลุ่มลัทธิสุดโต่ง
          นางสาวยูซาฟไซ ถูกกลุ่มตาลีบันที่ห้ามเด็กหญิงเรียนหนังสือ ดักยิงที่ศีรษะในปี 2555 แต่รอดชีวิตอย่างหวุดหิด และมุ่งมั่นรณรงค์ในเวทีโลกเพื่อส่งเสริมให้เด็กผู้หญิงมีโอกาสด้านการศึกษา โดยการที่เธอเพิ่งมีอายุเพียง 17 ปีในขณะนี้ ทำให้เธอกลายเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่อายุน้อยที่สุดด้วย 
          นายธอร์บเยิร์น ยัคแลนด์ ประธานคณะกรรมการตัดสินรางวัล ระบุว่า แม้ยังเป็นเยาวชน แต่ นางสาวยูซาฟไซ แสดงให้เห็นว่าเด็กและเยาวชนสามารถมีส่วนพัฒนาชีวิตของตัวเองได้ และเธอทำภายใต้สถานการณ์เสี่ยงอันตรายที่สุด 
          สำหรับนายสัตยาธีนั้น นายยัคแลนด์ บอกว่า นักเคลื่อนไหวรายนี้เป็นผู้นำแถวหน้าในการต่อต้านการใช้แรงงานเด็ก โดยจัดการประท้วงทั้งในอินเดียและส่วนอื่นๆ ของโลก
          ปีนี้มีรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลที่เป็นบุคคล 231 คน และองค์กร 47 แห่ง และเป็นอีกปีหนึ่งที่ไม่มีใครเป็นตัวเก็งโดดเด่นที่จะได้รับรางวัลอย่างแน่นอน โดยรายชื่อตัวเก็งมีอยู่หลากหลายกลุ่ม ไล่ตั้งแต่ สมเด็จพระสันตปาปา ฟรานซิส ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อต้นปีที่แล้ว และบริษัทรับพนันรายใหญ่หลายแห่งยกให้เขาเป็นตัวเก็งอันดับหนึ่ง ไปจนถึง นายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตลูกจ้างสำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ ผู้เปิดโปงความลับของโครงการสอดแนมของรัฐบาลอเมริกันที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากร และคนทรยศขายชาติ
          นอกจากนี้ ยังมีหนังสือพิมพ์รายวัน โนวาย่า กาเซต้า ของรัสเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อมวลชนอิสระไม่กี่แห่งในรัสเซีย และนักข่าวของหนังสือพิมพ์แห่งนี้ถูกฆาตกรรมหลายคนแล้ว รวมถึง นางอันนา โปลิตคอฟสกาย่า ที่ตีแผ่เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเชชเนีย หนังสือพิมพ์แห่งนี้มี นายมิคาอิล กอร์บอชอฟ อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตและอดีตเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเป็นผู้ร่วมก่อตั้งในปี 2536
          สหภาพแรงงานยูจีทีที ของตูนิเซีย เป็นอีกหนึ่งผู้เข้าชิงรางวัลที่ได้รับความสนใจจากหลายฝ่าย โดยสหภาพแรงงานแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย หลังการประท้วงโค่นล้มผู้นำเผด็จการได้สำเร็จ จากการมีส่วนร่วมไกล่เกลี่ยในการเจรจาทางการเมืองที่นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ ประธานาธิบดีมอนเซฟ มาร์ซูกี ของตูนิเซีย ที่ได้รับเลือกตั้งหลังผู้นำเผด็จการ ซีน เอล อาบิดีน พ้นจากอำนาจในปี 2554 ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลด้วย
          เมื่อปีที่แล้วคณะกรรมการโนเบลมอบรางวัลให้กับ องค์การเพื่อการห้ามใช้อาวุธเคมี หรือ โอพีซีดับเบิลยู ที่มีบทบาทสำคัญในการกำจัดอาวุธ รวมถึงการดำเนินการกำจัดอาวุุธเคมีในซีเรียในขณะนี้
          พิธีมอบรางวัลจะจัดที่กรุงออสโลของนอร์เวย ในวันที่ 10 ธ.ค. ซึ่งตรงกับวันเสียชีวิตของ นายอัลเฟรด โนเบล วิศวกรชาวสวีเดน ผู้คิดค้นระเบิดไดนาไมต์ และผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบลเพื่อมอบให้กับบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติในสาขาต่างๆ 

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

10 อันดับแอร์โฮสเตสสวยที่สุดในโลก

JetRadar เว็บไซต์เปรียบเทียบและค้นหาตั๋วเครื่องบิน เผย 10 อันดับแอร์โฮสเตสที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในโลก โดยอ้างอิงจากเว็บไซต์ www.wonderslist.com/10-attractive-airlines-stewardess โดยกล่าวว่า อาชีพพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแทบทุกสายการบินมักเลือกพนักงานต้อนรับโดยเน้น “หน้าตา” เพราะถือเป็นหน้าตาของสายการบินเช่นกัน สายการบินแต่ละแห่งจึงพิถีพิถันตั้งแต่การคัดเลือกรูปร่างหน้าตาของพนักงานต้อนรับ ไปจนถึงการจัดหายูนิฟอร์มให้ดูสวยงาม น่าสนใจ และเป็นจุดขายโฆษณาสายการบินไปในตัว
 
ทั้งนี้ 10 อันดับแอร์โฮสเตสที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในโลก มีดังนี้
 
1. สายการบิน Air France
 
สายการบิน Air France
 
สาวฝรั่งเศสดูหลงใหลน่าค้นหาตามสไตล์ฝรั่งเศส สาวๆ ทุกคนจึงไฮโซดูดี ด้วยความที่เป็นประเทศแห่งแฟชั่น ดังนั้น พนักงานต้อนรับทุกคนเปรียบเสมือนสวมวิญญาณนางแบบ เดินไปมาตามทางเดินบนเครื่องประหนึ่งมาเดินแคทวอล์ค ในชุดที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ชื่อก้องโลกอย่าง Christian Lacroix
 
2. สายการบิน Singapore Airlines
 
สายการบิน Singapore Airlines
 
สาวสิงคโปร์ดูมีคลาส แต่ยิ้มเป็นกันเองให้เสมอ ไม่ต้องแต่งหน้าจัดเหมือนสายการบินอื่นๆ แค่มาในชุดประจำชาติ “Sarong Kebaya” ก็ประทับใจผู้โดยสารได้ไม่ยาก ได้รับการยอมรับจากทั้งผู้โดยสาร นิตยสาร องค์กรในอุตสาหกรรมการบิน ว่าเป็นอันดับหนึ่งในด้านการบริการบนเครื่อง การันตีด้วยรางวัลบริการของลูกเรือที่ดีที่สุดในโลกเป็นเวลา 17 ปีติดต่อกัน
 
3. สายการบิน Aeroflot
 
สายบิน Aeroflot
 
สาวรัสเซียสวยคม หน้าผมเป๊ะทุกคน ได้รับการโหวตเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องยูนิฟอร์มของพนักงานต้อนรับที่ดูดีที่สุดในโลก ด้วยเอกลักษณ์หมวกทรงทหาร กับผ้าพันคอผูกเป็นโบ เก๋ไก๋ดูมีคลาส 
 
4. สายการบิน Kingfisher Airlines
 
สายการบิน Kingfisher Airlines
 
สไตล์การแต่งเสื้อผ้าหน้าผมคล้ายกับแอร์เอเชีย แต่เป็นสไตล์อินเดีย ตาคมแบบภารตะ ที่หนุ่มยุโรปต่างเทโหวตให้ไม่แพ้สาวแอร์เอเชีย ในฐานะแอร์ที่ฮ็อตที่สุดในโลก
 
5. สายการบิน Cathay Pacific
 
สายการบิน Cathay Pacific
 
สายการบินชั้นนำของเอเชีย เหมือนกับพนักงานที่บริการเยี่ยม สาวหมวยหน้าตาน่ารักขนาดไปเป็นนางแบบได้สบายๆ 
 
6. สายการบิน Emirates
 
สายการบิน Emirates
 
สาวสวยจากทั่วโลกมาเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินเอมิเรตส์ บริการได้ทุกภาษา สูงสง่า หน้าคม มีคลาส เหมือนกับบริการบนเครื่องที่ติดระดับ 5 ดาว ชุดแอร์รัดกุมราวกับกำลังบินโดยสายการบินของทหาร แต่สายการบินนี้มีรางวัลการันตีถึงคุณภาพมากมาย
 
7. สายการบิน Air Asia
 
สายการบิน Air Asia
 
เป็นสาวๆ สายการบินเดียวในโลกที่ไม่ม้วนเก็บผม มาพร้อมหุ่นนางแบบเอเชียในชุดสีแดง แต่ถ้าไม่สั่งอาหารบนเครื่อง แอร์ก็จะไม่ค่อยได้แวะเวียนมาให้บริการ นอกจากนั้นยังมีตำแหน่งเป็นสายการบิน low-cost ที่ดีที่สุดอีกด้วย 
 
8. สายการบิน Lufthansa
 
 
แอร์สาวสัญชาติเยอรมัน แต่มีหน้าตาหลากหลาย ตั้งแต่สไตล์ตุรกีไปจนถึงเอเชีย แต่น้ำเสียงภาษาด๊อยชท์อาจจะแข็งๆ ไม่ไพเราะชวนฝัน และยังเป็นหนึ่งในสายการบินที่แอร์เป็นมิตรและให้บริการดีที่สุดสายหนึ่งในยุโรป 
 
9. สายการบิน Thai Airways International
 
สายการบิน Thai Airways International
 
ให้บริการทุกระดับประทับใจ เน้นการให้บริการบนเครื่องที่ดีที่สุด แม้จะตัวสูงไม่เท่าแอร์โฮสเตสฝรั่ง แต่ก็ ได้รับรางวัลมากมายจากชุดแอร์ที่คงเอกลักษณ์ความเป็นไทยและสวยงามด้วยผ้าไหม 
 
10. สายการบิน Virgin Atlantic
 
สายการบิน Virgin Atlantic
 
ชุดสีแดงกระชากใจ รัดรูปเห็นสัดส่วน พร้อมผ้าพันคอไหมพรมบางๆ นุ่มๆ แต่ความที่เป็นสาวอังกฤษ หุ่นจึงไม่บางเหมือนสาวเอเชีย ได้รับตำแหน่งแอร์ที่ “น่าหลงใหล” ที่สุดของยุโรปในปี 2011